ต้องยอมรับว่าการะบาดของโควิด 19 ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตปรับเปลี่ยนไปจากเดิม รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ ความต้องการซื้อบ้านแนวราบที่มีพื้นที่ ขยายตัวมากขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการทำธุรกิจของ บมจ. พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ (PREB) ที่เน้นทำตลาดมากขึ้น
นางสาวโชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เปิดเผยภาพรวมตลาดที่พักอาศัยปี 2565 ว่า บ้านแนวราบได้กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมของผู้ซื้อชาวไทย โดยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% เมื่อเทียบกับปี 2564 และบ้านแนวราบเปิดใหม่มีมากกว่าจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2554
ปัจจัยที่กระตุ้นการเติบโตของตลาดบ้านแนวราบในปี 2565 คือมีการเปิดตัวโครงการบ้าน ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เพิ่มขึ้น ซึ่ง ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องการพื้นที่ใหญ่ขึ้นและมีฟังก์ชันที่รองรับการทำงานและการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ โดยแผนกวิจัยซีบีอาร์อี พบว่า ในปี 2565 โครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่เปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะถนนกรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ ศรีนครินทร์ และบางนา เช่น โครงการ "มอลตัน เกทส์" โครงการ "อาลียาห์ รีเซิร์ฟ" โครงการ "พาร์ค เฮอริเทจ" และโครงการ "เนอวานา คอลเลคชั่น"
ทั้งนี้ตลาดระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงที่มีโรคระบาด และในปี 2566 นี้ จะได้เห็นการเปิดขายบ้านระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เพิ่มขึ้นอีก
แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมอง “วิโรจน์ เจริญตรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีบิลท์ (PREB) ที่ยอมรับว่า บริษัทมองตลาดบ้านแนวราบยังมีความต้องการซื้อสูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง จึงไม่เจอปัญหายกเลิก ทิ้งใบจอง หรือกู้ไม่ผ่าน เหมือนกับคอนโดมิเนียมที่ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อลงทุน ทำให้การพัฒนาโครงการแนวราบมั่นใจได้ในด้านการรับรู้รายได้แน่นอน แม้ว่าตลาดจะมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่บริษัทยังสามารถหาแนวทางพัฒนาบ้านที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่ พร้อมกับความมั่นใจด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพงานก่อสร้าง และบริการหลังการขายจากทีมช่างของพรีบิลท์ที่มีความรู้และมืออาชีพ
โดยทิศทางธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 4 พันล้านบาท มาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกว่า 3 พันล้านบาท และธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 1.1 พันล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปี 2565 ที่คาดว่าจะทำรายได้ 3.5 พันล้านบาท และเตรียมงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในกลุ่มแนวราบเป็นหลัก โดยสนใจทำเล กรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีความต้องการซื้ออยู่อาศัย
ด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปีนี้น่าจะรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) กว่า 3 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 6 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป ซึ่งส่วนใหญ่งานที่บริษัทรับเข้ามาจะใช้ระยะเวลารับรู้รายได้ราว 2 ปี ซึ่งบริษัทเชื่อว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทำให้เชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่างๆกลับมาดีขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนให้งานโครงการลงทุนต่างๆออกมามากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทมีงานที่จะเข้าประมูลกว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดหวังได้รับงานประมาณ 30%
ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ ในปี 66 ตั้งเป้ายอดขาย 1.3 พันล้านบาท และรายได้ 1.1 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 800 ล้านบาท โดยมี Backlog ราว 300 ล้านบาทที่จะรับรู้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด
พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการแนวราบในปีนี้ มูลค่ารวม 1.5 พันล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว พิมนารา ศาลายา มูลค่า 550 ล้านบาท 77 ยูนิต ราคาขาย 5.5-7 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/66 และ พรรณนา ทวีวัฒนา มูลค่า 950 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวขนาด 100 ตารางวาขึ้นไป จำนวน 51 ยูนิต ราคาขาย 15-19 ล้านบาท เปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/66
ส่วนคอนโดมิเนียม บริษัทก็ยังรอโอกาสพัฒนาโครงการใหม่หากตลาดกลับมาชัดเจน เพราะคอนโดมิเนียมเป็นอีกกลุ่มสินค้าหนึ่งที่จะช่วยทำให้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เติบโตมากขึ้นได้ โดยบริษัทมีที่ดินรอรองรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมอยู่ 2 แปลง ได้แก่ ซอยสุขุมวิท 24 พื้นที่ 1.5 ไร่ ปัจจุบันปล่อยเช่าให้กับร้านอาหาร สามารถพัฒนาอาคารสูง 40 ชั้น มูลค่า 2.7-2.8 พันล้านบาท และที่ดินในซอยสุขุมวิท 26 พื้นที่ 300 ตารางวา สามารถพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้นได้ ซึ่งบริษัทมีแผนจะพัฒนาเอง มูลค่าโครงการราว 700 ล้านบาท
นางสาวโชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เปิดเผยภาพรวมตลาดที่พักอาศัยปี 2565 ว่า บ้านแนวราบได้กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมของผู้ซื้อชาวไทย โดยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% เมื่อเทียบกับปี 2564 และบ้านแนวราบเปิดใหม่มีมากกว่าจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2554
ปัจจัยที่กระตุ้นการเติบโตของตลาดบ้านแนวราบในปี 2565 คือมีการเปิดตัวโครงการบ้าน ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เพิ่มขึ้น ซึ่ง ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องการพื้นที่ใหญ่ขึ้นและมีฟังก์ชันที่รองรับการทำงานและการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ โดยแผนกวิจัยซีบีอาร์อี พบว่า ในปี 2565 โครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่เปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะถนนกรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ ศรีนครินทร์ และบางนา เช่น โครงการ "มอลตัน เกทส์" โครงการ "อาลียาห์ รีเซิร์ฟ" โครงการ "พาร์ค เฮอริเทจ" และโครงการ "เนอวานา คอลเลคชั่น"
ทั้งนี้ตลาดระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงที่มีโรคระบาด และในปี 2566 นี้ จะได้เห็นการเปิดขายบ้านระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เพิ่มขึ้นอีก
แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมอง “วิโรจน์ เจริญตรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีบิลท์ (PREB) ที่ยอมรับว่า บริษัทมองตลาดบ้านแนวราบยังมีความต้องการซื้อสูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง จึงไม่เจอปัญหายกเลิก ทิ้งใบจอง หรือกู้ไม่ผ่าน เหมือนกับคอนโดมิเนียมที่ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อลงทุน ทำให้การพัฒนาโครงการแนวราบมั่นใจได้ในด้านการรับรู้รายได้แน่นอน แม้ว่าตลาดจะมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่บริษัทยังสามารถหาแนวทางพัฒนาบ้านที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่ พร้อมกับความมั่นใจด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพงานก่อสร้าง และบริการหลังการขายจากทีมช่างของพรีบิลท์ที่มีความรู้และมืออาชีพ
โดยทิศทางธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 4 พันล้านบาท มาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกว่า 3 พันล้านบาท และธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 1.1 พันล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปี 2565 ที่คาดว่าจะทำรายได้ 3.5 พันล้านบาท และเตรียมงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในกลุ่มแนวราบเป็นหลัก โดยสนใจทำเล กรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีความต้องการซื้ออยู่อาศัย
ด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปีนี้น่าจะรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) กว่า 3 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 6 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปีถัดไป ซึ่งส่วนใหญ่งานที่บริษัทรับเข้ามาจะใช้ระยะเวลารับรู้รายได้ราว 2 ปี ซึ่งบริษัทเชื่อว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทำให้เชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่างๆกลับมาดีขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนให้งานโครงการลงทุนต่างๆออกมามากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทมีงานที่จะเข้าประมูลกว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดหวังได้รับงานประมาณ 30%
ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ ในปี 66 ตั้งเป้ายอดขาย 1.3 พันล้านบาท และรายได้ 1.1 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 800 ล้านบาท โดยมี Backlog ราว 300 ล้านบาทที่จะรับรู้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมด
พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการแนวราบในปีนี้ มูลค่ารวม 1.5 พันล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว พิมนารา ศาลายา มูลค่า 550 ล้านบาท 77 ยูนิต ราคาขาย 5.5-7 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/66 และ พรรณนา ทวีวัฒนา มูลค่า 950 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวขนาด 100 ตารางวาขึ้นไป จำนวน 51 ยูนิต ราคาขาย 15-19 ล้านบาท เปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/66
ส่วนคอนโดมิเนียม บริษัทก็ยังรอโอกาสพัฒนาโครงการใหม่หากตลาดกลับมาชัดเจน เพราะคอนโดมิเนียมเป็นอีกกลุ่มสินค้าหนึ่งที่จะช่วยทำให้บริษัท พรีบิลท์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เติบโตมากขึ้นได้ โดยบริษัทมีที่ดินรอรองรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมอยู่ 2 แปลง ได้แก่ ซอยสุขุมวิท 24 พื้นที่ 1.5 ไร่ ปัจจุบันปล่อยเช่าให้กับร้านอาหาร สามารถพัฒนาอาคารสูง 40 ชั้น มูลค่า 2.7-2.8 พันล้านบาท และที่ดินในซอยสุขุมวิท 26 พื้นที่ 300 ตารางวา สามารถพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้นได้ ซึ่งบริษัทมีแผนจะพัฒนาเอง มูลค่าโครงการราว 700 ล้านบาท