ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายน 2566 ดัชนีหุ้นไทยยังคงผันผวนปัจจัยที่ยังนักลงทุนยังคงให้ความสนใจส่วนใหญ่เป็นประเด็นของการทำชอร์ตเซล และธุรกรรมการทำ Naked Short ซึ่งส่งผลกระทบให้ดัชนีมายืนระดับปริ่มๆ1,400 จุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) ประเมินว่าการที่มีแนวคิดจะทำกองทุนพยุงหุ้นในรูปแบบ ESG FUNDนั้น แนวคิดดังกล่าว อาจกลับมาหนุนมูลค่าซื้อขายคึกคักอีกครั้งตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.66-ปัจจุบัน SET INDEX ปรับตัวลงแรงกว่า -179 จุด หรือ -11.4% จนล่าสุดปิดที่ระดับ 1387.13 จุด ซึ่งส่วนหนึ่งโดนกดดันมาจากการ SHORTSELL หุ้นรายตัว สังเกตได้จากการปรับตัวลงแรงของหุ้นในแต่ละวันของช่วงที่ผ่านมา
โดยหุ้นที่ถูก SHORT SELL มากสุด (ก.ย. 23 – ปัจจุบัน) คือ PTT, PTTEP-R,BDMS, AOT, DELTA-R, PTTEP, ADVANC, SCB-R, CPALL, AOT-R, EA-Rเป็นต้น ขณะที่หากพิจารณาเป็นภาพรวม SET INDEX จะเห็นได้ว่ามูลค่าการSHORT SELL ในปัจจุบันสูงกว่าในช่วงก่อนมีกฏ UPTICK ในช่วง COVID ปี 2560เสียอีก โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ช่วงก่อนมี UPTICK (ม.ค.63 - กลาง มี.ค. 63) SET INDEX ปรับตัวลง -39% โดยมีปริมาณ SHORT SELL 6% จากมูลค่าซื้อขาย 6.68 หมื่นล้าน บาท/วัน
- ช่วง ก.ย.66 - 13 พ.ย. 66 SET INDEX ปรับตัวลง -11% โดยีปริมาณSHORT SELL 11% จากมูลค่าซื้อขาย 4.62 หมื่นล้านบาท/วัน
ขณะที่ระยะถัดไป SET INDEX มีโอกาสฟื้นตัวขึ้น หลังรัฐบาลเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของ SET INDEX โดยวันนี้จะมีการประชุมของรัฐบาล FETCO – AIMC เกี่ยวกับประเด็น ข้อสรุปเกณฑ์ตั้ง ESG FUND (ไม่ใช่กองทุนพยุงหุ้น แต่จะเป็นกองทุนคล้าย LTF) ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าหาก ESG FUND ได้รับการอนุมัติ จะเป็นภาพบวกต่อ SET INDEX ให้มีมูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักอีกครั้ง คาดหวังเม็ดเงินหนุนช่วงที่เหลือของปี 2 – 7 หมื่นล้านบาท เฉกเช่นเดียวกับช่วงที่มีกองทุนประหยัดภาษี LTF ที่มีมูลค่าเม็ดเงินหนุนตลาดกว่า 6-7 หมื่นล้านบาท/ปี (เฉพาะเดือน ธ.ค. มีมูลค่าเม็ดเงินหนุน ตลาดกว่า 2 หมื่นล้านบาท)
อีกทั้ง ESG FUND ยังมีความน่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ SETESG INDEX ชนะ SET INDEX ทุก TIMEFRAME ดังรูปด้านล่าง กล่าวคือ SETESG INDEX มี ความสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า SET INDEX ทั้งช่วงตลาดหมี และกระทิง ดังนั้น คาดทำให้หุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SETESG INDEX ทั้ง 114 ตัว จะน่าสนใจขึ้น และเป็น เป้าหมายของ ACTIVE FUND และ PASSIVE FUND
โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่อยู่ใน SETESG INDEX ที่ถูก SHORT เยอะๆ มีโอกาสได้เม็ดเงินใหม่หนุน บวกกับถูก COVERED SHORT โดยมีเงื่อนไขการคัดกรอง ดังนี้
- หุ้นใน SETESG เฉพาะที่มี RATING ระดับ AAA และ AA
- ถูกนักลงทุน SHORT SELL มากกว่า 1 พันล้านบาท ในช่วง ก.ย.66-ปัจจุบัน
ซึ่งได้บริษัทที่น่าลงทุน คือ EA, BGRIM, GPSC, SCGP, PTTGC, HMPRO, GULF,CPALL, CRC, SCC, MINT, SIRI ฯลฯ
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนในหุ้จำนวน 15 บริษัทและมีมูลค่าการถือครองรวมกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
AU |
43,152,000 |
5.29 |
BKD |
64,890,300 |
6.03 |
BTSGIF |
1,929,000,000 |
33.33 |
CIVIL |
6,750,000 |
0.96 |
GRAND |
468,000,000 |
5.01 |
J |
12,902,900 |
1.13 |
KEX |
88,100,000 |
5.06 |
MACO |
1,401,451,639 |
17.26 |
NOBLE |
118,200,000 |
8.63 |
RABBIT |
1,964,916,952 |
35 |
SFLEX |
55,000,000 |
6.71 |
SPI |
11,504,469 |
2.01 |
SRIPANWA |
16,000,000 |
5.73 |
TNL |
128,302,746 |
42.12 |
VGI |
3,504,104,742 |
31.3 |
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) J ได้ปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดจะเห็นว่ารายชื่อของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในครั้งก่อน โดยจะเห็นว่า พอร์ตลงทุนของBTS ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น J ล่าสุดถือหุ้น 12,902,900 หุ้น คิดเป็น1.13% จากเดิมที่เคยถือหุ้น 28,320,700 หุ้น คิดเป็น 2.48 % ส่งผลให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จากเดิมที่เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุดของ J ประกอบด้วย
รายชื่อ |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ |
760,554,978 |
66.69 |
กุลิสรา การะ |
21,570,394 |
1.89 |
ฉัตรชัย วงศ์สกุลชัย |
14,202,008 |
1.25 |
บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ |
12,902,900 |
1.13 |
ยุวดี พงษ์อัชฌา |
12,577,229 |
1.1 |
เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น |
12,100,000 |
1.06 |
ณัฐภณ นิธิธนัตกุล |
12,000,000 |
1.05 |
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา |
11,389,549 |
1 |
สมชาย ตั้งวงศ์สามารถ |
10,670,000 |
0.94 |
อานนท์ ไพจิตโรจนา |
9,000,005 |
0.79 |
ขณะที่การเคลื่อนไหวราคาหุ้นในช่วงเวลาที่ถือครองหุ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 ถึงพฤศจิกายน 2566 พบว่า ราคาหุ้น J ปรับตัวลดลงมากว่า 25.60% จากราคา 3.36 บาทลดลงมาอยู่ที่ 2.50 บาท และราคาเคยปรับลดลงต่ำสุดที่ 2.22 บาท
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของ J ในงวดไตรมาส3/2566 มีกำไรปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่น และบริษัทฯ มีมุมมองเชิงบวกในผลประกอบการของบริษัทในอนาคตทั้งในปีนี้ และปีหน้า โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3 ปี2566 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ129.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 617.2% จากงวดเดียวกันปีก่อน และงวด 9 เดือน ปี2566 มีกำไรสุทธิ 134.ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 74.7% โดยสำเหตุที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ JAS Green Village บางบัวทอง ในช่วงไตรมาส 3/2566 ที่ผ่านมา
ส่วนมุมมองของผู้บริหารต่อผลประกอบการในอนาคต บริษัทฯ ได้เปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ โครงการ JAS Green Village บางบัวทองเมื่อ 29 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีพื้นที่เช่า 9,555 ตารางเมตร บนที่ดินประมาณ 14 ไร่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าพื้นที่เช่าหลัก (Key Anchor Tenant)ต่างๆ และจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้ดีในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมเปิดตัวอีก 3 โครงการภายในปี 2567 ได้แก่ JAS Green Village รามคำแหง JAS Green Village ประเวศ และ JAS Green Village ขอนแก่น โดยเป็นโครงการที่มีพื้นที่เช่าแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ซึ่งจะเป็นพื้นที่เช่าที่จะเพิ่ม และสร้างรายได้ได้ดีในอนาคต