เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 30-11-23
30-11-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***วันนี้มาว่ากันด้วยเรื่องที่กระทรวงการคลังเสนอ 5 มาตรการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมุ่งเป้าส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายโดย 5 มาตรการคือ
1. มาตรการจูงใจด้านภาษีและการเงินเพื่อให้สินค้าไทยน่าสนใจแก่นักท่องเที่ยวมากขึ้น
2. มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว มาตรการดังกล่าวควรเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าและบริการ เช่น การลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม
3. พิจารณาความเหมาะสมในการยกเลิกการเสนอสินค้าปลอดภาษีสำหรับขาเข้าเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศ
4. การผ่อนคลายเวลาเปิดปิดสถานบริการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายรายวันของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
5. การยกเว้นวีซ่า (ฟรีวีซ่า) สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพื่อส่งเสริมการเดินทางมาประเทศไทย
***ขณะนี้มาตรการดังกล่าว ได้รับมอบหมายให้กระทรวงต่างๆ ศึกษาต่อไป ก่อนที่จะเปิดเผยรายละเอียดขั้นสุดท้ายของแต่ละกระทรวง กูรูหุ้นให้ความเห็นว่ามาตรการที่ 1 และ 2 : การสนับสนุนสินค้าไทยและการช้อปปิ้ง รายละเอียดยังคงคลุมเครือ ดังนั้นการระบุผู้รับผลประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงจึงเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศโดยทั่วไปควรเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีก
***มาตรการที่ 3 : การยกเลกข้อเสนอผลิตภัณฑ์ปลอดภาษีสำหรับผู้โดยสารขาเข้า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ AOT เป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อรายได้สัมปทานของ คิง เพาเวอร์ ที่มีต่อ AOT โดยปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ จ่ายเงินให้ AOT ตามยอดใช้จ่ายต่อหัวที่สนามบินของ AOT จำนวน 5 แห่ง (ทุกสนามบินยกเว้น DMK) สำหรับการขายสินค้าปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม การคำนวณการใช้จ่ายต่อหัวจะขึ้นอยู่กับพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่กำหนดให้กับ คิง เพาเวอร์ ตามมาตรการดังกล่าว การลดพื้นที่เชิงพาณิชย์ของ คิง เพาเวอร์ อาจส่งผลให้ คิง เพาเวอร์ ขอแก้ไขสัญญาเพื่อสะท้อนถึงการลดลงของยอดขายที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการดังกล่าว AOT จึงอาจได้รับผลกระทบต่อรายได้สัมปทาน ทั้งนี้ สำหรับขนาดของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เราสังเกตว่าการใช้จ่ายปลอดภาษีของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่การเดินทางออกมากกว่าการมาถึง ดังนั้นจึงจำกัดข้อเสียบางประการของ AOT คาดหวังว่าผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับที่ คิง เพาเวอร์ นำเสนอจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก โดยเฉพาะผู้ค้าปลีกที่มีไวน์และวิสกี้หลากหลายประเภท (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC) เครื่องสำอาง (CPN – ร้านเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า ) และของว่างที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC)
***มาตรการที่ 4 : ขยายเวลาปิดและเปิด CPALL คือ ผู้รับผลประโยชน์หลัก ทั้งนี้เชื่อว่าระยะเวลาการให้บริการที่ยาวนานขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อ CPALL ร้าน 7-11 ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง คาดว่าการเติบโตจากยอดขายต่อสาขาเดิม (Sssg) จะดีกว่า เนื่องจากจำนวนลูกค้าในช่วงเวลากลางคืน โดยทั่วไปจะช้า
*** มาตรการที่ 5 : การยกเว้นวีซ่า (หรือปลอดวีซ่า) โดยทั่วไปแล้วทุกกลุ่มที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจะได้รับประโยชน์ ภาคส่วนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ (AOT, AAV, BA), โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง (ERW, AWC, SPA,CENTEL, MINT) และผู้ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC)
***ส่วนกูรูหุ้นอีกค่ายให้ความเห็นว่า 1. มาตรการภาษีและการเงิน โดยเฉพาะสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อในระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่น น้ำหอม เสื้อผ้า กระเป๋า เป็นต้น เรื่องนี้ยังไม่มีรายละเอียดของมาตรการนี้ออกมาจากที่ประชุม อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์คือจะทำให้สินค้าโดยทั่วไปราคาถูกลงเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคโดยรวมในประเทศ
*** 2. การปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้สินค้าและบริการมีราคาที่จูงใจในการบริโภคของนักท่องเที่ยว ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่สินค้าที่มีการเก็บภาษีสรรสามิตปัจจุบันได้แก่ สุรา และ บุหรี่ คาดว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์มากสุด CPALL-CPAXT -BJC-CRC ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าเหล้าเพิ่มขึ้น
*** 3. การยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน (ร้านดิวตี้ฟรี) ในสนามบินฝั้งขาเข้าประเทศ เพื่อเป็นการส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น คือ การยกเลิกคลังสินค้าฑัณฑ์บนประเภทที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นพื้นที่แสดงและขยายของ หรือ ร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศเกิดการจับจ่ายซื้อของในประเทศแทนที่จะซื้อสินค้าจากในร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า ซึ่งจะทำให้รายได้จากดิวตี้ฟรีลดลง โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบได้แก่ AOT จากรายได้ดิวตี้ฟรีลดลง ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์ได้แก่ ห้างสรรพสินคา CRC-CPAXT-BJC-CPN ที่ขายสินค้าได้มากขึ้น
*** 4. การผ่อนปรนเวลาเปิด-ปิดของสถานบริการ เช่น สถานบันเทิง ร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่ง เป็นต้น โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการศึกษา จะทำให้ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ CBG ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากธุรกิจขนส่งและบรรจุภัณฑ์ ให้กับเบียร์คาราบาวได้มากขึ้น และได้รับผลบวกทางอ้อมกับ CPALL ที่จะทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น รวมถึง MENA มีโอกาสเพิ่มบริการขนส่งสินค้าให้กับกลุ่มคาราบาว
*** 5. การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวตางชาติ (วีซ่าฟรี) โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษาดำเนินการ คาดว่าจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม เช่นการขยายระยะเวลาวีซ่าฟรีเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มจำนวนประเทศที่จะได้รับวีซ่าฟรีมากขึ้น โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ AOT -CENTEL -MINT - SHR ที่จ ทำให้มีนักท่องเที่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้น
30-11-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***วันนี้มาว่ากันด้วยเรื่องที่กระทรวงการคลังเสนอ 5 มาตรการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมุ่งเป้าส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายโดย 5 มาตรการคือ
1. มาตรการจูงใจด้านภาษีและการเงินเพื่อให้สินค้าไทยน่าสนใจแก่นักท่องเที่ยวมากขึ้น
2. มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว มาตรการดังกล่าวควรเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าและบริการ เช่น การลดภาษีสินค้าแบรนด์เนม
3. พิจารณาความเหมาะสมในการยกเลิกการเสนอสินค้าปลอดภาษีสำหรับขาเข้าเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศ
4. การผ่อนคลายเวลาเปิดปิดสถานบริการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายรายวันของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
5. การยกเว้นวีซ่า (ฟรีวีซ่า) สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพื่อส่งเสริมการเดินทางมาประเทศไทย
***ขณะนี้มาตรการดังกล่าว ได้รับมอบหมายให้กระทรวงต่างๆ ศึกษาต่อไป ก่อนที่จะเปิดเผยรายละเอียดขั้นสุดท้ายของแต่ละกระทรวง กูรูหุ้นให้ความเห็นว่ามาตรการที่ 1 และ 2 : การสนับสนุนสินค้าไทยและการช้อปปิ้ง รายละเอียดยังคงคลุมเครือ ดังนั้นการระบุผู้รับผลประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงจึงเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศโดยทั่วไปควรเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีก
***มาตรการที่ 3 : การยกเลกข้อเสนอผลิตภัณฑ์ปลอดภาษีสำหรับผู้โดยสารขาเข้า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ AOT เป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อรายได้สัมปทานของ คิง เพาเวอร์ ที่มีต่อ AOT โดยปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ จ่ายเงินให้ AOT ตามยอดใช้จ่ายต่อหัวที่สนามบินของ AOT จำนวน 5 แห่ง (ทุกสนามบินยกเว้น DMK) สำหรับการขายสินค้าปลอดภาษี อย่างไรก็ตาม การคำนวณการใช้จ่ายต่อหัวจะขึ้นอยู่กับพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่กำหนดให้กับ คิง เพาเวอร์ ตามมาตรการดังกล่าว การลดพื้นที่เชิงพาณิชย์ของ คิง เพาเวอร์ อาจส่งผลให้ คิง เพาเวอร์ ขอแก้ไขสัญญาเพื่อสะท้อนถึงการลดลงของยอดขายที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการดังกล่าว AOT จึงอาจได้รับผลกระทบต่อรายได้สัมปทาน ทั้งนี้ สำหรับขนาดของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เราสังเกตว่าการใช้จ่ายปลอดภาษีของนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่การเดินทางออกมากกว่าการมาถึง ดังนั้นจึงจำกัดข้อเสียบางประการของ AOT คาดหวังว่าผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับที่ คิง เพาเวอร์ นำเสนอจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลัก โดยเฉพาะผู้ค้าปลีกที่มีไวน์และวิสกี้หลากหลายประเภท (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC) เครื่องสำอาง (CPN – ร้านเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า ) และของว่างที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC)
***มาตรการที่ 4 : ขยายเวลาปิดและเปิด CPALL คือ ผู้รับผลประโยชน์หลัก ทั้งนี้เชื่อว่าระยะเวลาการให้บริการที่ยาวนานขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อ CPALL ร้าน 7-11 ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง คาดว่าการเติบโตจากยอดขายต่อสาขาเดิม (Sssg) จะดีกว่า เนื่องจากจำนวนลูกค้าในช่วงเวลากลางคืน โดยทั่วไปจะช้า
*** มาตรการที่ 5 : การยกเว้นวีซ่า (หรือปลอดวีซ่า) โดยทั่วไปแล้วทุกกลุ่มที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจะได้รับประโยชน์ ภาคส่วนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ (AOT, AAV, BA), โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง (ERW, AWC, SPA,CENTEL, MINT) และผู้ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC และ CRC)
***ส่วนกูรูหุ้นอีกค่ายให้ความเห็นว่า 1. มาตรการภาษีและการเงิน โดยเฉพาะสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อในระหว่างท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่น น้ำหอม เสื้อผ้า กระเป๋า เป็นต้น เรื่องนี้ยังไม่มีรายละเอียดของมาตรการนี้ออกมาจากที่ประชุม อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์คือจะทำให้สินค้าโดยทั่วไปราคาถูกลงเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคโดยรวมในประเทศ
*** 2. การปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้สินค้าและบริการมีราคาที่จูงใจในการบริโภคของนักท่องเที่ยว ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่สินค้าที่มีการเก็บภาษีสรรสามิตปัจจุบันได้แก่ สุรา และ บุหรี่ คาดว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์มากสุด CPALL-CPAXT -BJC-CRC ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าเหล้าเพิ่มขึ้น
*** 3. การยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน (ร้านดิวตี้ฟรี) ในสนามบินฝั้งขาเข้าประเทศ เพื่อเป็นการส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น คือ การยกเลิกคลังสินค้าฑัณฑ์บนประเภทที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นพื้นที่แสดงและขยายของ หรือ ร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศเกิดการจับจ่ายซื้อของในประเทศแทนที่จะซื้อสินค้าจากในร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า ซึ่งจะทำให้รายได้จากดิวตี้ฟรีลดลง โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบได้แก่ AOT จากรายได้ดิวตี้ฟรีลดลง ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์ได้แก่ ห้างสรรพสินคา CRC-CPAXT-BJC-CPN ที่ขายสินค้าได้มากขึ้น
*** 4. การผ่อนปรนเวลาเปิด-ปิดของสถานบริการ เช่น สถานบันเทิง ร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่ง เป็นต้น โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการศึกษา จะทำให้ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ CBG ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากธุรกิจขนส่งและบรรจุภัณฑ์ ให้กับเบียร์คาราบาวได้มากขึ้น และได้รับผลบวกทางอ้อมกับ CPALL ที่จะทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น รวมถึง MENA มีโอกาสเพิ่มบริการขนส่งสินค้าให้กับกลุ่มคาราบาว
*** 5. การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวตางชาติ (วีซ่าฟรี) โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษาดำเนินการ คาดว่าจะมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม เช่นการขยายระยะเวลาวีซ่าฟรีเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มจำนวนประเทศที่จะได้รับวีซ่าฟรีมากขึ้น โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ AOT -CENTEL -MINT - SHR ที่จ ทำให้มีนักท่องเที่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้น