นายเกรียงไกร เธียร นุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือเร่งด่วนวันที่ 6 ธันวาคม เกี่ยวกับผลกระทบจากกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดแรกของปี คือ มกราคม-เมษายน 2567
จะส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟทุกประเภทอยู่ที่เฉลี่ย 4.68 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มถึง 17% กระทบต่อทุกภาคส่วนต้อนรับปี 2567 เรื่องนี้ช็อกความรู้สึกของเอกชนรับปีใหม่ เกิดความวิตกกังวล สวนทางกับนโยบายรัฐบาลต้องการลดค่าครองชีพประชาชน ที่ผ่านมา กกร.ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขอให้เร่งรัดจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ.ด้านพลังงาน มาดูแลทั้งโครงสร้าง ดังนั้นค่าไฟฟ้างวดใหม่นี้ควรพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง ทั้งนี้ ควรจะตรึงที่ 3.99 บาทต่อหน่วยไปก่อนเพื่อรอปรับโครงสร้าง หากเร่งดำเนินการจะได้ข้อสรุปไม่ช้า
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ปัจจุบัน ส.อ.ท.มีสมาชิกอยู่ 45 กลุ่มอุตสาหกรรม ต่างเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังเปราะบางสูง การขึ้นค่าไฟฟ้าจะยิ่งซ้ำเติม อาจนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติต่างสอบถามเข้ามาว่าเหตุใดไทยจึงมีค่าไฟสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน บั่นทอนขีดความสามารถของประเทศ
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า กรณี กกพ.ประกาศเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้างวดมกราคม-เมษายน 2567 เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายต้องเปิดรับฟังความเห็นก่อนจะมีมติ แต่ยังไม่ถือเป็นการสิ้นสุดโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีอำนาจบริหารจัดการ เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพประชาชนและดูแลเศรษฐกิจโดยตรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางไม่ให้ค่าไฟขึ้นไปถึงระดับ 4.68 บาทต่อหน่วยแน่นอน หากเป็นไปได้จะพยายามตรึงราคา 3.99 บาทต่อหน่วย หรือหากที่สุดต้องปรับขึ้น จะไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย
ขณะนี้คณะทำงานกำลังเร่งหาแนวทางลดค่าไฟฟ้าจากหลายเครื่องมือ อาทิ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. แบกรับภาระหนี้บางส่วนออกไป ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับภาระส่วนของต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ อาจหางบประมาณมาสนับสนุน นายพีระพันธุ์จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้เวลาช่วงธันวาคมนี้เร่งทำงาน มั่นใจว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนช่วงปีใหม่แน่นอน
ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_4317400