นายนันทวัฒน์ สุรวัติเสถียร หัวหน้าคณะผู้บริหาร สายงานการเงิน บมจ.ธนูลักษณ์ (TNL) เปิดเผยว่า จากผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ซึ่งสามารถสร้างรายได้รวม 1,947.35 ล้านบาท เทียบเท่าปี 2565 ทั้งปี ด้านกำไรสุทธิราว 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากทั้งปีก่อนที่ทำได้ 111 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการปรับโครงสร้างและให้ความสำคัญธุรกิจด้านการเงินและอสังหาริมทรัพย์ จากเดิมที่พึ่งพิงแต่ฐานผลประกอบการจากสิ่งทอเป็นหลัก ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องหนังราว 70%
![คุณนันทวัฒน์ สุรวัติเสถียร หัวหน้าคณะผู้บ.jpg](https://www.share2trade.com/storage/News%20Today/2023/081223/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C%20%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%20%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A.jpg)
ทั้งนี้ทิศทางภาพรวมในปี 2565 นี้จึงมั่นใจว่า จะเติบโตจากปีก่อนได้ และในปีหน้าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก โดยโครงสร้างธุรกิจแกนหลักยังมาจากธุรกิจสิ่งทอ ทว่า อีก 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Asset Financing) และธุรกิจการเงินประเภทธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) และนอกจากนี้ ยังมีธุรกิจการลงทุนในบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เหล่านี้แม้จะมีสัดส่วนรายได้ยังน้อยกว่า แต่สามารถสร้างอัตรากำไรที่ดีกว่าอย่างมีนัย
บริษัทฯ วางงบลงทุนสำหรับปี 2567 ไว้ราว 2,000-3,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจการเงิน จากการปล่อยสินเชื่อและลงทุนในพอร์ตหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ตั้งเป้าโตเป็น 2 เท่าจากปี 2566 ซึ่งปัจจุบันมีพอร์ตหนี้เสียราว 1,600 ล้านบาท และธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ตั้งเป้าโต 15-30% ปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ราว 5,000 ล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดจะมีการเปิดขายโครงการอีกประมาณ 3 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท โดยปีนี้มีโครงการในมือเหลือ 8 โครงการ มูลค่าร่วม 20,000 หมื่นล้านบาท ที่ร่วมมือกับ บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ผ่านบริษัทร่วมทุน ในสัดส่วน 50%
![คุณนันทวัฒน์ สุรวัติเสถียร หัวหน้าคณะผู้บ.jpg](https://www.share2trade.com/storage/News%20Today/2023/081223/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C%20%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%20%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A.jpg)
ทั้งนี้ทิศทางภาพรวมในปี 2565 นี้จึงมั่นใจว่า จะเติบโตจากปีก่อนได้ และในปีหน้าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก โดยโครงสร้างธุรกิจแกนหลักยังมาจากธุรกิจสิ่งทอ ทว่า อีก 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Asset Financing) และธุรกิจการเงินประเภทธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) และนอกจากนี้ ยังมีธุรกิจการลงทุนในบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เหล่านี้แม้จะมีสัดส่วนรายได้ยังน้อยกว่า แต่สามารถสร้างอัตรากำไรที่ดีกว่าอย่างมีนัย
บริษัทฯ วางงบลงทุนสำหรับปี 2567 ไว้ราว 2,000-3,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจการเงิน จากการปล่อยสินเชื่อและลงทุนในพอร์ตหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ตั้งเป้าโตเป็น 2 เท่าจากปี 2566 ซึ่งปัจจุบันมีพอร์ตหนี้เสียราว 1,600 ล้านบาท และธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ตั้งเป้าโต 15-30% ปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ราว 5,000 ล้านบาท
ขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดจะมีการเปิดขายโครงการอีกประมาณ 3 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท โดยปีนี้มีโครงการในมือเหลือ 8 โครงการ มูลค่าร่วม 20,000 หมื่นล้านบาท ที่ร่วมมือกับ บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ผ่านบริษัทร่วมทุน ในสัดส่วน 50%