เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 12-12-23
12-12-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (11-15 ธ.ค.) กูรูให้แนวรับที่ 1,365 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,410 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) (12-13 ธ.ค.) และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
***และในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 12-13 ธ.ค.66 จะมีการประชุมของเฟด กูรูประเมินว่ามีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% หลังจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงกว่าคาดและตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง แม้ตัวเลขที่ออกมายังคงไม่บรรลุเป้าหมายของเฟด พร้อมประเมินว่าในอนาคตคาดว่าเฟดจะยังคงมีมุมมองระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยเฟดคงจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีทิศทางทรงตัวในระดับสูงและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลงในระยะข้างหน้า
***ระยะนี้หุ้น MENA (ผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ)กลับคึกคักได้รับความสนใจอย่างมาก..เจ๊จิ๋มเห็นมีบทวิเคราะห์จาก บล.ทิสโก้ ออกมาแนะนำ “ซื้อ” MENA ให้ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 2.76 บาทต่อหุ้น โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ของ MENA จะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์จากการขยาย Fleet เพิ่มกว่า 100 คันรวมถึงภาพรวมอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวพร้อมกับการชิงส่วนแบ่งการตลาดได้เพิ่มขึ้น
***อีกทั้งมองว่า MENA มีโอกาสเข้ารับงานจากผู้ประกอบการในธุรกิจ FMCG รายอื่นๆ เพิ่มเติม หลังมี Learning curve จากการบริหาร TDM ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การลดปริมาณ Backhaul (วิ่งรถเปล่าหลังจากส่งสินค้าเสร็จ) โดยการหางานขนส่งจากโรงงานผู้ผลิตกลับเข้า DC เพิ่มเติม ในขณะแผนการเปิดศูนย์กระจายสินค้าของ CJ แห่งใหม่ในช่วงกลางปี 2567 น่าจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งของ TDM เพิ่มเติมสำหรับรองรับการขยายสาขาในอนาคต
***ทางด้านผู้บริหารคนเก่ง "สุวรรณา ขจรวุฒิเดช" ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 4 นี้ว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มขยายตัว โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการขนส่งรถคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงแผนขยาย Fleet ธุรกิจ Mixer อย่างต่อเนื่อง
***ข้อมูล ณ 30 ก.ย.66 MENA มีรถขนส่งให้บริการ 752 คัน แบ่งเป็น รถมิกเซอร์ 546 คัน รถเทรลเลอร์ 61 คัน หางพ่วงชนิดต่างๆ 108 หาง รถบรรทุกอาหารสัตว์ 23 คันและรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิรวมอีก 14 คัน โดยมีแผนขยายฟลีทรถอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านการขนส่งทั้งในส่วนของรถมิกเซอร์ รถเทลเลอร์ รถควบคุมอุณหภูมิ และรถขนส่งสินค้าเฉพาะทางเพื่อต่อยอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งตั้งเป้ามีรถพร้อมให้บริการอยู่ที่ 790 คัน ภายในสิ้นปี 2566 ขณะมาร์เก็ตแชร์ปัจจุบันอยู่ที่ 11%
***หมายเหตุ..นอกจาก บล.ทิสโก้แล้ว ยังอีกกูรูอีก 2 ค่านแนะนำซื้อ MENA ด้วยคือ DAOLSEC ให้ราคาเป้าหมาย 2.90 บาท แนะนำ Buy และ
TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 2.76 บาท แนะนำBuy
***พูดถึงแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/66 พวกเราอย่ามองข้าม PCC เด็ดขาด!! บิ๊กบอส "กิตติ สัมฤทธิ์" มั่นใจว่าจะมีการจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดูจากสัญญาณคำสั่งซื้อยอดขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าภาครัฐ และเอกชนเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าหม้อแปลง เครื่องมือวัดแรงดันและกระแส, กลุ่มสินค้าสวิตช์ชนิดต่างๆ รวมถึงกลุ่มอุปกรณ์และระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ขณะที่มีการรับรู้จากงานโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ตามเป้าหมายที่วางไว้
***“มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,589.99 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 3,352.84 ล้านบาท และปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ถึงปี 2567 ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และอยู่ระหว่างรอประกาศผลการประมูลของปีนี้อีกจำนวนหนึ่ง”ทั่นประธาน PCC กล่าวไว้
***ส่วนผลงานของ PCC รอบ 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้รวม 3,352.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.33 ล้านบาท หรือ 2.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 259.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
***ทางนี้ก้อเริ่ดดดดดดดดดด "ขุ่นพี่ลิ่ม-อธิพร ลิ่มเจริญ" แห่งค่าย I2 ออกมาส่งซิกผลงานปี 66 คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากช่วงปลายปีเริ่มรับรู้รายได้จากกิจการค้าร่วมไอทูวาร์ ซึ่งเป็นกิจการค้าร่วมระหว่าง I2 และ บริษัท วี เอ อาร์ เอส จำกัด ซึ่งได้รับงานโครงการซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ บนพื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มูลค่ารวม 1,541.28 ล้านบาท
***บัดนาว I2 มี Backlog ในมือมูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยส่วนใหญ่เป็นงานด้านธุรกิจโซลูชั่นด้านการจัดการพลังงาน (Energy) ประมาณ 1,000 ล้านบาท, ด้านธุรกิจโซลูชั่นระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านงานเทคโนโลยี (IT Infrastructure) ประมาณ 600-700 ล้านบาท และงานด้านบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellite Service) ประมาณ 300 ล้านบาท ...ทำให้เจ๊จิ๋มมองยาวไปที่ปี 67 เลยอ่ะ!!!แนวโน้มผลการดำเนินงานน่าจะโตต่อเนื่อง แบบนี้ช้าไม่ได้..ลุ๊ยยยยยยย!!!!
12-12-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (11-15 ธ.ค.) กูรูให้แนวรับที่ 1,365 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,410 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) (12-13 ธ.ค.) และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
***และในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 12-13 ธ.ค.66 จะมีการประชุมของเฟด กูรูประเมินว่ามีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% หลังจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงกว่าคาดและตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง แม้ตัวเลขที่ออกมายังคงไม่บรรลุเป้าหมายของเฟด พร้อมประเมินว่าในอนาคตคาดว่าเฟดจะยังคงมีมุมมองระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยเฟดคงจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีทิศทางทรงตัวในระดับสูงและความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลงในระยะข้างหน้า
***ระยะนี้หุ้น MENA (ผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ)กลับคึกคักได้รับความสนใจอย่างมาก..เจ๊จิ๋มเห็นมีบทวิเคราะห์จาก บล.ทิสโก้ ออกมาแนะนำ “ซื้อ” MENA ให้ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 2.76 บาทต่อหุ้น โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ของ MENA จะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์จากการขยาย Fleet เพิ่มกว่า 100 คันรวมถึงภาพรวมอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวพร้อมกับการชิงส่วนแบ่งการตลาดได้เพิ่มขึ้น
***อีกทั้งมองว่า MENA มีโอกาสเข้ารับงานจากผู้ประกอบการในธุรกิจ FMCG รายอื่นๆ เพิ่มเติม หลังมี Learning curve จากการบริหาร TDM ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การลดปริมาณ Backhaul (วิ่งรถเปล่าหลังจากส่งสินค้าเสร็จ) โดยการหางานขนส่งจากโรงงานผู้ผลิตกลับเข้า DC เพิ่มเติม ในขณะแผนการเปิดศูนย์กระจายสินค้าของ CJ แห่งใหม่ในช่วงกลางปี 2567 น่าจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งของ TDM เพิ่มเติมสำหรับรองรับการขยายสาขาในอนาคต
***ทางด้านผู้บริหารคนเก่ง "สุวรรณา ขจรวุฒิเดช" ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 4 นี้ว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มขยายตัว โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการขนส่งรถคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงแผนขยาย Fleet ธุรกิจ Mixer อย่างต่อเนื่อง
***ข้อมูล ณ 30 ก.ย.66 MENA มีรถขนส่งให้บริการ 752 คัน แบ่งเป็น รถมิกเซอร์ 546 คัน รถเทรลเลอร์ 61 คัน หางพ่วงชนิดต่างๆ 108 หาง รถบรรทุกอาหารสัตว์ 23 คันและรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิรวมอีก 14 คัน โดยมีแผนขยายฟลีทรถอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านการขนส่งทั้งในส่วนของรถมิกเซอร์ รถเทลเลอร์ รถควบคุมอุณหภูมิ และรถขนส่งสินค้าเฉพาะทางเพื่อต่อยอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งตั้งเป้ามีรถพร้อมให้บริการอยู่ที่ 790 คัน ภายในสิ้นปี 2566 ขณะมาร์เก็ตแชร์ปัจจุบันอยู่ที่ 11%
***หมายเหตุ..นอกจาก บล.ทิสโก้แล้ว ยังอีกกูรูอีก 2 ค่านแนะนำซื้อ MENA ด้วยคือ DAOLSEC ให้ราคาเป้าหมาย 2.90 บาท แนะนำ Buy และ
TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 2.76 บาท แนะนำBuy
***พูดถึงแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/66 พวกเราอย่ามองข้าม PCC เด็ดขาด!! บิ๊กบอส "กิตติ สัมฤทธิ์" มั่นใจว่าจะมีการจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดูจากสัญญาณคำสั่งซื้อยอดขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับกลุ่มลูกค้าภาครัฐ และเอกชนเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าหม้อแปลง เครื่องมือวัดแรงดันและกระแส, กลุ่มสินค้าสวิตช์ชนิดต่างๆ รวมถึงกลุ่มอุปกรณ์และระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ขณะที่มีการรับรู้จากงานโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ตามเป้าหมายที่วางไว้
***“มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,589.99 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 3,352.84 ล้านบาท และปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ถึงปี 2567 ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และอยู่ระหว่างรอประกาศผลการประมูลของปีนี้อีกจำนวนหนึ่ง”ทั่นประธาน PCC กล่าวไว้
***ส่วนผลงานของ PCC รอบ 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้รวม 3,352.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.33 ล้านบาท หรือ 2.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 259.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
***ทางนี้ก้อเริ่ดดดดดดดดดด "ขุ่นพี่ลิ่ม-อธิพร ลิ่มเจริญ" แห่งค่าย I2 ออกมาส่งซิกผลงานปี 66 คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากช่วงปลายปีเริ่มรับรู้รายได้จากกิจการค้าร่วมไอทูวาร์ ซึ่งเป็นกิจการค้าร่วมระหว่าง I2 และ บริษัท วี เอ อาร์ เอส จำกัด ซึ่งได้รับงานโครงการซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ บนพื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มูลค่ารวม 1,541.28 ล้านบาท
***บัดนาว I2 มี Backlog ในมือมูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยส่วนใหญ่เป็นงานด้านธุรกิจโซลูชั่นด้านการจัดการพลังงาน (Energy) ประมาณ 1,000 ล้านบาท, ด้านธุรกิจโซลูชั่นระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านงานเทคโนโลยี (IT Infrastructure) ประมาณ 600-700 ล้านบาท และงานด้านบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellite Service) ประมาณ 300 ล้านบาท ...ทำให้เจ๊จิ๋มมองยาวไปที่ปี 67 เลยอ่ะ!!!แนวโน้มผลการดำเนินงานน่าจะโตต่อเนื่อง แบบนี้ช้าไม่ได้..ลุ๊ยยยยยยย!!!!