เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 13-12-23
13-12-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***จากประเด็นที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเมื่อวันศุกร์ (8 ธ.ค.) มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มวันละ 2-16 บาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย +2.4% เป็น 330-370 บาท จากเดิม 328-354 บาท มีอัตราสูงสุดคือ จ.ภูเก็ต วันละ 370 บาท และอัตราต่ำสุดที่ จ.นราธิวาส, ปัตตานี และยะลา วัน ละ 330 บาท โดยจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ 12 ธ.ค. นี้ และคาดว่าจะ บังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป..แต่แล้วเมื่อ 9 ธ.ค.66 นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ออกมาให้ความเห็นว่าการพิจารณาขึ้นค่าแรงต้องมีความยุติธรรมและต้องการหารือร่วมกับ คณะกรรมการไตรภาคีอีกครั้งถึงความเหมาะสม พร้อมทั้งระบุว่าไม่เห็นด้วย หากมีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.
***กูรูในวงการบอกว่ามีมุมมองเป็นกลาง โดยมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวอาจต้องมีการทบทวนมติเพิ่มเติม ขณะที่กรอบอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างเห็นชอบล่าสุดเพิ่มขึ้นเพียง +2.4% เป็น 330-370 บาท ค่อนข้างใกล้เคียงกับคาดการณ์ปี 2567 GDP ที่คาดที่ 2.9% และ ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เดิมที่ 400 บาท หากว่าค่าแรงขั้นต่ำใหม่ขึ้น +2.4% ตามมติล่าสุด มองว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวก/ลบเล็กน้อย
***กลุ่มที่คาดว่าจะได้ผลกระทบเชิงบวกเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ Finance และ Commerce โดยเป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น หนุนให้เกิดการใช้จ่ายและชำระหนี้ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดการใช้จ่ายที่เล็กอย่าง MTC ซึ่งมีลูกหนี้จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์มาก และ JMT ที่มีกองหนี้เสีย unsecured ที่สูง
( + ) Sector และหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
1. Finance (MTC, JMT, SAWAD, AEONTS)
2. Commerce (CPAXT, CPALL)
***ส่วนหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจะเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูง โดยเฉพาะแรงงานขั้นต่ำโดยเรียงผลกระทบจากมากไปน้อย ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน, กลุ่ม Agri & Food, กลุ่ม Food & Beverage, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่ม Property, และกลุ่มโรงพยาบาล
( - ) Sector และหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
1. Construction (STEC, CK, PYLON, SEAFCO)
2. Oil Station (PTG, OR)
3. Agri & Food (AAI, ITC, GFPT, TU)
4. Food & Beverage (CBG, OSP, PLUS, SAPPE, SNNP, SUN)
5. Tourism (ERW, CENTEL, MINT, SHR)
6. Property (LPN, ORI, PSH, QH, SIRI, SPALI)
7. Healthcare (BH, BDMS, BCH, CHG, EKH, PR9)
***สัปดาห์นี้มีเรื่องการประชุมของเฟดที่พวกเรารอติดตามอยู่นะ..ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ต.ค. อยู่ที่ 3.2%YOY ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมายเพียง เล็กน้อยที่ 2% อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้มีโอกาสสูงขึ้นที่อาจเห็น FED ยืดเวลาการตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% ไปอีกราว 2 เดือน จากเดิม คาด มี.ค. 67 ขยับเป็น พ.ค. 67 หลังมีรายงานตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดใน เดือน พ.ย. ค่อนข้างแข็งแกร่ง คาดว่าอาจได้เห็นการคงดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 14 ธ.ค. นี้
***หากว่าเงินเฟ้อที่ชะลอตัวเป็นแรงกระตุ้นให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกจบรอบวัฏจักร ดอกเบี้ยขาขึ้นในปีนี้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมาก ขึ้นในระยะถัดไปได้
***โยงเรื่องมาถึงไทยเราหากว่า กนง.หนุนการลดดอกเบี้ยให้เกิดเร็วขึ้นกว่าที่คาด มีการประเมินจากกูรูหุ้นว่าตามกลไกดอกเบี้ยที่ลดลง 25 BPS. (จาก 2.50% เป็น 2.25%) มีโอกาสที่จะเป็นแรงผลัก ให้ TARGET SET INDEX ปรับตัวสูงขึ้นอีกราว 78 จุด จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1717 จุด ส่วนหุ้นกลุ่มที่คาดว่าได้ประโยชน์ คือ กลุ่มเช่าซื้อ THANI, MTC, TIDLOR, SAWAD, ASK, AEONTS, BAM, JMT กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก KKP, TISCO กลุ่มให้ ปันผลสูง (HIGH YIELD) NER, ADVANC, SCC, TU, MAJOR
13-12-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***จากประเด็นที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเมื่อวันศุกร์ (8 ธ.ค.) มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มวันละ 2-16 บาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย +2.4% เป็น 330-370 บาท จากเดิม 328-354 บาท มีอัตราสูงสุดคือ จ.ภูเก็ต วันละ 370 บาท และอัตราต่ำสุดที่ จ.นราธิวาส, ปัตตานี และยะลา วัน ละ 330 บาท โดยจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ 12 ธ.ค. นี้ และคาดว่าจะ บังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป..แต่แล้วเมื่อ 9 ธ.ค.66 นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ออกมาให้ความเห็นว่าการพิจารณาขึ้นค่าแรงต้องมีความยุติธรรมและต้องการหารือร่วมกับ คณะกรรมการไตรภาคีอีกครั้งถึงความเหมาะสม พร้อมทั้งระบุว่าไม่เห็นด้วย หากมีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.
***กูรูในวงการบอกว่ามีมุมมองเป็นกลาง โดยมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวอาจต้องมีการทบทวนมติเพิ่มเติม ขณะที่กรอบอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่คณะกรรมการค่าจ้างเห็นชอบล่าสุดเพิ่มขึ้นเพียง +2.4% เป็น 330-370 บาท ค่อนข้างใกล้เคียงกับคาดการณ์ปี 2567 GDP ที่คาดที่ 2.9% และ ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์เดิมที่ 400 บาท หากว่าค่าแรงขั้นต่ำใหม่ขึ้น +2.4% ตามมติล่าสุด มองว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวก/ลบเล็กน้อย
***กลุ่มที่คาดว่าจะได้ผลกระทบเชิงบวกเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ Finance และ Commerce โดยเป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น หนุนให้เกิดการใช้จ่ายและชำระหนี้ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดการใช้จ่ายที่เล็กอย่าง MTC ซึ่งมีลูกหนี้จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์มาก และ JMT ที่มีกองหนี้เสีย unsecured ที่สูง
( + ) Sector และหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
1. Finance (MTC, JMT, SAWAD, AEONTS)
2. Commerce (CPAXT, CPALL)
***ส่วนหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจะเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูง โดยเฉพาะแรงงานขั้นต่ำโดยเรียงผลกระทบจากมากไปน้อย ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน, กลุ่ม Agri & Food, กลุ่ม Food & Beverage, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่ม Property, และกลุ่มโรงพยาบาล
( - ) Sector และหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
1. Construction (STEC, CK, PYLON, SEAFCO)
2. Oil Station (PTG, OR)
3. Agri & Food (AAI, ITC, GFPT, TU)
4. Food & Beverage (CBG, OSP, PLUS, SAPPE, SNNP, SUN)
5. Tourism (ERW, CENTEL, MINT, SHR)
6. Property (LPN, ORI, PSH, QH, SIRI, SPALI)
7. Healthcare (BH, BDMS, BCH, CHG, EKH, PR9)
***สัปดาห์นี้มีเรื่องการประชุมของเฟดที่พวกเรารอติดตามอยู่นะ..ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ต.ค. อยู่ที่ 3.2%YOY ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมายเพียง เล็กน้อยที่ 2% อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้มีโอกาสสูงขึ้นที่อาจเห็น FED ยืดเวลาการตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% ไปอีกราว 2 เดือน จากเดิม คาด มี.ค. 67 ขยับเป็น พ.ค. 67 หลังมีรายงานตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดใน เดือน พ.ย. ค่อนข้างแข็งแกร่ง คาดว่าอาจได้เห็นการคงดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 14 ธ.ค. นี้
***หากว่าเงินเฟ้อที่ชะลอตัวเป็นแรงกระตุ้นให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกจบรอบวัฏจักร ดอกเบี้ยขาขึ้นในปีนี้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมาก ขึ้นในระยะถัดไปได้
***โยงเรื่องมาถึงไทยเราหากว่า กนง.หนุนการลดดอกเบี้ยให้เกิดเร็วขึ้นกว่าที่คาด มีการประเมินจากกูรูหุ้นว่าตามกลไกดอกเบี้ยที่ลดลง 25 BPS. (จาก 2.50% เป็น 2.25%) มีโอกาสที่จะเป็นแรงผลัก ให้ TARGET SET INDEX ปรับตัวสูงขึ้นอีกราว 78 จุด จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1717 จุด ส่วนหุ้นกลุ่มที่คาดว่าได้ประโยชน์ คือ กลุ่มเช่าซื้อ THANI, MTC, TIDLOR, SAWAD, ASK, AEONTS, BAM, JMT กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก KKP, TISCO กลุ่มให้ ปันผลสูง (HIGH YIELD) NER, ADVANC, SCC, TU, MAJOR