จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : ฤดูท่องเที่ยว-เรือขนส่งปิโตรเลียมเหลว ดันผลงาน PRM โตตามนัด


13 ธันวาคม 2566
การท่องเที่ยวในไตรมาส4  การเติบโตของธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเลียมเหลว และเรือ Offshore Support ปัจจัยหลักหนุนผลงาน บมจ. พริมา มารีน (PRM) ปีนี้เติบโตตามเป้า แม้กระแสตลาดรถ EV มาแรง

รายงานพิเศษ PRM copy.jpg

นายวิริทธิ์พล  จุไรสินธุ์  ผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บมจ. พริมา มารีน (PRM) มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/66 คาดการณ์จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากธุรกิจเรือขนส่งในประเทศเข้าสู่ช่วงฤดูท่องเที่ยวที่เป็น High season 
          
รวมถึงจะได้รับผลดีจากการมาตรการ Free Visa ให้กับนักท่องเที่ยวจีนของรัฐบาล ประกอบกับเรือขนส่งปิโตรเคมีเหลวที่เข้ามาเพิ่มอีก 1 ลำ ขนาด 11,000 DWT เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 นี้ ขณะที่ในส่วนของธุรกิจ FSU เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น
          
บริษัทฯ ยังคงมองโอกาสในการขยายธุรกิจในส่วนของกลุ่มเรือ Offshore Support อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทฯ ได้สัญญาการให้บริการเรือขนส่งและที่พักกลางทะเล (Accommodation Work Barge, AWB) จาก ปตท.สผ. เพิ่มอีก 1 ลำ โดยจะรับเรือในช่วงไตรมาส 4/66 พร้อมรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี 67 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีการให้บริการเรือ AWB ในอ่าวไทยถึง 2 ลำตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนผลประกอบการให้เติบโตตามแผนระยะยาวที่ยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในส่วนของเรือขนส่งปิโตรเคมีเหลว และเรือ Offshore Support ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ยังคงมีโอกาสเติบโตสูง และไม่ถูก Disruption จากการขยายตลาดของรถ EV

ด้านบล.ดาโอ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ลงทุนใน PRM  เนื่องจาก มีพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งจากได้รับสัญญาให้บริการใหม่, u-rate ดีขึ้น และการรับเรือใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

1) FSU จะกลับมาฟื้นตัวใน 4Q23E จาก 3Q23 ที่ชะลอตัวมาก โดยมี u-rate ที่ต่ำเพียง 51.5% เนื่องจากมีเรือ FSU 1 ลำ (จากทั้งหมด 5 ลำ) หยุดให้บริการไปปรับปรุงเรือเพื่อให้บริการลูกค้ารายใหม่  ซึ่ง 4Q23E กลับมาให้บริการเป็นปกติแล้ว ขณะที่ราคาน้ำมันลดลงทำให้ความต้องการใช้เรือ FSU เพื่อกักเก็บน้ำมันปรับตัวดีขึ้น

2) เรือ AWB มีการรับเรือใหม่เพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อให้บริการกับ PTTEP ซึ่ง PRM ได้รับงานให้บริการใหม่  โดยจะเริ่มรับรู้รายได้เดือน ม.ค.24 ระยะเวลา 2 ปี ทำให้ปี 2024E จะมีเรือ AWB ให้บริการรวม 2 ลำ 

3) เรือ crew boat จะมีการรับเรือใหม่ 2 ลำ ในเดือน ม.ค., มี.ค.24 ซึ่งจะทำให้มีเรือเพิ่มเป็น 15 ลำ

4) เรือ Aframax เริ่มกลับมาให้บริการในเดือน ต.ค.23 (เข้า dry dock เดือน ก.ย.23) โดยได้สัญญาใหม่ให้บริการกับ BCP ระยะเวลา 6 เดือน เป็นสัญญา time charter จากเดิมที่เป็น spot ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในการรับรู้รายได้ที่ต่อเนื่องและไม่ต้องรับความเสี่ยงด้านต้นทุนน้ามัน รวมถึงมีโอกาสได้สัญญาต่อเนื่องในอนาคต

5) เรือ domestic trading มีแนวโน้มดีขึ้นใน 4Q24E จากการเข้าสู่ช่วงฤดูท่องเที่ยว และจะมีการรับเรือ
ใหม่เพิ่มอีก 1 ลำ จะเป็นเรือขนาดใหญ่ขึ้นขนาด 1.1 หมื่น DWT (ปกติขนาด 3-7 พัน DWT)

ส่วน 4Q23E เชื่อว่า จะกลับมาฟื้นตัวจาก FSU ที่ดีขึ้น และกำไรปี2024E จากธุรกิจ offshore และเรือขนปิโตรเคมี เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2023E/24E ขึ้นเล็กน้อย +2%/+3% โดยประเมินกำไรปกติปี 2023E ที่1.8 พันล้านบาท +17% YoY เราปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม  เนื่องจากเรือ FSU ที่ฟื้นตัวดีขึ้นใน 4Q23E ซึ่งประเมิน u-rate จะเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 70% จาก 3Q23 ที่ต่ำเพียง 52% หลังจากกลับมาให้บริการเรือ FSU ครบทุกลำและเราประเมินกำไร 4Q23E จะดีขึ้นเป็น 400 ล้านบาท ฟื้นตัวได้ดี 15%  QoQ แต่ลดลง -31% YoY จากฐานสูง

ส่วนปี 2024E เราประเมินกำไรที่ 1.9 พันล้านบาท +6% YoY เติบโตเล็กน้อยจากฐานสูง โดยธุรกิจ offshore จะเพิ่มขึ้นได้โดดเด่นสุด จากการรับรู้รายได้จากเรือ AWB และเรือ crew boat ที่มีการรับเรือใหม่ รวมถึงธุรกิจ domestic trading ที่มีการรับรู้รายได้จากเรือใหม่เต็มปีและมีแผนที่จะขยายเรือขนส่งปิโตรเคมีเพิ่มมากขึ้นในปี 2024E
PRM