Fed คงดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. และส่งสัญญาณยุติการปรับขึน้ ดอกเบี้ย วันที่ 14 ธันวาคม ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25%-5.50% โดยเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย11 ครั้ง นับตั้งแต่ที่เดือน มี.ค. 2022 โดยในแถลงการณ์ Fed ได้ส่งสัญญาณสิ้นสุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว โดยระบุว่า "คณะกรรมการ Fed จะพิจารณาปัจจัยหลายประการส าหรับการคุมเข้มนโยบายการเงินใดๆ ที่จะมีขึ้นอีก" ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยค าที่ไม่เคยมีมาก่อนในแถลงการณ์ในขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2024 และDot Plot ยังสะท้อนโอกาสที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 4 ครั้งในปี 2025
บล.ดาโอ หรือ DAOL ระบุว่าประเด็นดังกล่าว เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ผลการประชุม FOMC ที่ออกมา เป็นไปตามที่ consensus และ DAOL คาดการณ์ และส่งผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ เช่น ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค สนับสนุนโดยการไหลกลับของเงินลงทุนจากต่างประเทศ
เราได้คัดเลือกหุ้นที่คาดว่ามีโอกาส outperform SET หลังผลการประชุม FOMC โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
1) ราคาหุ้นปรับลงมาก YTD
2) มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูง (มีแนวโน้มที่กำไรปี 2024E จะดีกว่าคาดเดิม จากค่าใช้จ่ายการเงินที่ลดลง)
3) มีการเติบโตของกำไรปกติเป็นบวกหรือเติบโตดีในปี 2024E (ธุรกิจที่มีผลกระทบน้อยจากเศรษฐกิจชะลอปี 2023E หรือได้รับผลกระทบมากแต่จะฟื้นตัวดีปี 2024E)
4) มี short-term catalysts หรือมีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำ (ไม่มีปัจจัยลบ หรือ uncertain factors ที่จะกดดันราคาหุ้น)
6 หุ้นเด่น พืน้ฐานดีที่เลือก คือ AAV, BGRIM, SYNEX, TIDLOR, HMPRO และ CK หุ้นกลุ่มการเงินได้ประโยชน์มากสุดเพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยกู้ยืม, กลุ่มไฟฟ้า มูลค่าหุ้นอ่อนไหวมากกับอัตราดอกเบี้ยมาก, AAV มีอัตราหนี้ต่อทุนสูงและราคาหุ้นปรับลงแรงสะท้อนจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาน้อยกว่าคาดปีนี้แล้ว รวมทั้ง SYNEX และ HMPRO ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
AAV: 4Q23E จะดีขึ้นจากผู้โดยสารที่กลับมาโต
TIDLOR: สินเชื่อยังโตดี, NPL ผ่านจุดสูงสุด และทรงตัว เมื่อเทียบกับกลุ่มฯที่ยังเพิ่มขึ้น
BGRIM: กระทบจ ากัดจากมาตรการคุมค่าไฟ, โอกาสการเติบโตจากโครงการต่างประเทศ
SYNEX: 2024E ยอดขายและ GPM จะดีขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว
HMPRO: กำลังซื้อฟื้นตัวจากมาตรการรัฐ e-Refund และขยายสาขาต่อเนื่อง
CK: Backlog ที่เติบโตสูงและทำสถิติใหม่
บล.ดาโอ หรือ DAOL ระบุว่าประเด็นดังกล่าว เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ผลการประชุม FOMC ที่ออกมา เป็นไปตามที่ consensus และ DAOL คาดการณ์ และส่งผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ เช่น ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค สนับสนุนโดยการไหลกลับของเงินลงทุนจากต่างประเทศ
เราได้คัดเลือกหุ้นที่คาดว่ามีโอกาส outperform SET หลังผลการประชุม FOMC โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
1) ราคาหุ้นปรับลงมาก YTD
2) มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูง (มีแนวโน้มที่กำไรปี 2024E จะดีกว่าคาดเดิม จากค่าใช้จ่ายการเงินที่ลดลง)
3) มีการเติบโตของกำไรปกติเป็นบวกหรือเติบโตดีในปี 2024E (ธุรกิจที่มีผลกระทบน้อยจากเศรษฐกิจชะลอปี 2023E หรือได้รับผลกระทบมากแต่จะฟื้นตัวดีปี 2024E)
4) มี short-term catalysts หรือมีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำ (ไม่มีปัจจัยลบ หรือ uncertain factors ที่จะกดดันราคาหุ้น)
6 หุ้นเด่น พืน้ฐานดีที่เลือก คือ AAV, BGRIM, SYNEX, TIDLOR, HMPRO และ CK หุ้นกลุ่มการเงินได้ประโยชน์มากสุดเพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยกู้ยืม, กลุ่มไฟฟ้า มูลค่าหุ้นอ่อนไหวมากกับอัตราดอกเบี้ยมาก, AAV มีอัตราหนี้ต่อทุนสูงและราคาหุ้นปรับลงแรงสะท้อนจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาน้อยกว่าคาดปีนี้แล้ว รวมทั้ง SYNEX และ HMPRO ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
AAV: 4Q23E จะดีขึ้นจากผู้โดยสารที่กลับมาโต
TIDLOR: สินเชื่อยังโตดี, NPL ผ่านจุดสูงสุด และทรงตัว เมื่อเทียบกับกลุ่มฯที่ยังเพิ่มขึ้น
BGRIM: กระทบจ ากัดจากมาตรการคุมค่าไฟ, โอกาสการเติบโตจากโครงการต่างประเทศ
SYNEX: 2024E ยอดขายและ GPM จะดีขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว
HMPRO: กำลังซื้อฟื้นตัวจากมาตรการรัฐ e-Refund และขยายสาขาต่อเนื่อง
CK: Backlog ที่เติบโตสูงและทำสถิติใหม่