แนวทางการทำธุรกิจของบริษัทต่างๆในปัจจุบัน จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งบมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมพลาสติก แต่ก็ทำธุรกิจโดยเน้นสร้างความยั่งยืน สะท้อนได้จากรางวัลที่บริษัทได้รับ
นโยบายภาครัฐและการรณรงค์ให้ลดและเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียมแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งซึ่งย่อยสลายได้ยาก ส่งผลกระทบต่อการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับ บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) นโยบายดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัท
สะท้อนจาก บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ในระดับ A จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย CGR 5 ดาว หรือระดับ "ดีเลิศ" จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการไทย (IOD)
“วิวรรธน์ เหมมณฑารพ” ประธานกรรมการบริหาร PJW ระบุ ทั้ง 2 รางวัลที่บริษัทได้รับ ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯที่จะเป็นผู้นำในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนเพื่อคนไทย และให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล การกำกับดูแลกิจการที่ดี โปร่งใส คำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย และสร้างความยั่งยืนให้ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
"บริษัทฯ ตระหนักดีว่าความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อความมุ่งมั่นในทางธุรกิจตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งการรักษาการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนจะต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขการกำกับดูแลกิจการที่ดี การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียและมีความรับผิดชอบต่อสังคม" นายวิวรรธน์ กล่าว
ซึ่งผู้บริหารมั่นใจ ผลการดำเนินงานปี 2567 จะยังสดใสต่อเนื่องจากปี 66 ที่บริษัทเริ่มกลับมา Turnaround คาดรายได้เติบโต 10% ส่วนปี 67 คาดจะเติบโตเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนลงทุนราว 500 ล้านบาท เพื่อขยายและปรับปรุงโรงงานรองรับการเติบโตในอนาคต
การเติบโตในปีนี้มาจากทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจอื่น และบริษัทขึ้นเป็น Tier1 ในธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว ซึ่งไตรมาส 3/66 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ 244.68 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33% รายได้รวม การเติบโตมาจากกลุ่มลูกค้าจีนมากขึ้น และคาดว่าปี 67 ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์จะเติบโตอย่างน้อย 20% จากปี 66
ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลือง บริษัทกำลังทำผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ Oxygen Humidifier จากเดินที่เป็นผลิตภัณฑ์ Reused ซึ่งต้นทุนสูงกว่าแบบ Single Use ที่ใช้แล้วนำไป Recycle ต่อไม่เป็นขยะทางการแพทย์ โดยกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นตลาดใหม่ที่บริษัทได้เข้าไปขยายกลุ่มลูกค้าในปีหน้า มูลค่าตลาดรวม (Market Size) ในไทยอยู่ที่ราว 300-400 ล้านบาท ขณะที่ในอาเซียนมีมูลค่าสูงถึง 3,000 ล้านบาท ทำให้มีโอกาสส่งออกไปยังตลาดอาเซียนได้ แต่ยอดขายในปี 67 อาจจะยังไม่มาก แต่ปีถัดไปคาดว่าจะอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% ของรายได้รวม
นโยบายภาครัฐและการรณรงค์ให้ลดและเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียมแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งซึ่งย่อยสลายได้ยาก ส่งผลกระทบต่อการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับ บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) นโยบายดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัท
สะท้อนจาก บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ในระดับ A จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และยังได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย CGR 5 ดาว หรือระดับ "ดีเลิศ" จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการไทย (IOD)
“วิวรรธน์ เหมมณฑารพ” ประธานกรรมการบริหาร PJW ระบุ ทั้ง 2 รางวัลที่บริษัทได้รับ ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯที่จะเป็นผู้นำในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนเพื่อคนไทย และให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล การกำกับดูแลกิจการที่ดี โปร่งใส คำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย และสร้างความยั่งยืนให้ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
"บริษัทฯ ตระหนักดีว่าความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อความมุ่งมั่นในทางธุรกิจตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งการรักษาการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนจะต้องเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขการกำกับดูแลกิจการที่ดี การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียและมีความรับผิดชอบต่อสังคม" นายวิวรรธน์ กล่าว
ซึ่งผู้บริหารมั่นใจ ผลการดำเนินงานปี 2567 จะยังสดใสต่อเนื่องจากปี 66 ที่บริษัทเริ่มกลับมา Turnaround คาดรายได้เติบโต 10% ส่วนปี 67 คาดจะเติบโตเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนลงทุนราว 500 ล้านบาท เพื่อขยายและปรับปรุงโรงงานรองรับการเติบโตในอนาคต
การเติบโตในปีนี้มาจากทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจอื่น และบริษัทขึ้นเป็น Tier1 ในธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว ซึ่งไตรมาส 3/66 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ 244.68 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33% รายได้รวม การเติบโตมาจากกลุ่มลูกค้าจีนมากขึ้น และคาดว่าปี 67 ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์จะเติบโตอย่างน้อย 20% จากปี 66
ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลือง บริษัทกำลังทำผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ Oxygen Humidifier จากเดินที่เป็นผลิตภัณฑ์ Reused ซึ่งต้นทุนสูงกว่าแบบ Single Use ที่ใช้แล้วนำไป Recycle ต่อไม่เป็นขยะทางการแพทย์ โดยกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นตลาดใหม่ที่บริษัทได้เข้าไปขยายกลุ่มลูกค้าในปีหน้า มูลค่าตลาดรวม (Market Size) ในไทยอยู่ที่ราว 300-400 ล้านบาท ขณะที่ในอาเซียนมีมูลค่าสูงถึง 3,000 ล้านบาท ทำให้มีโอกาสส่งออกไปยังตลาดอาเซียนได้ แต่ยอดขายในปี 67 อาจจะยังไม่มาก แต่ปีถัดไปคาดว่าจะอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% ของรายได้รวม