by.พูเมซ่า
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ ดัชนียังคงผันผวนและยืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้เล็กน้อย ขณะบล.เอเซียพลัส ระบุว่า บรรยากาศตลาดหุ้นไทยมาทั้ง Window Dressing และJanuary Effect แม้มูลค่าการซื้อขายจะเบาบางช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปลายปี แต่เราเห็นแรงซื้อที่ แข็งแรงจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเม็ดเงิน Thailand ESG Fund ที่ AUM เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และน่าจะเปิดโอกาสให้เกิดปรากฎการณ์ Window Dressing ตามมาในช่วงเวลาที่เหลือของปี ตามด้วย January Effect ต้นปี 2567 ส่วนปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน มี 2 เรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ มติ ครม. ที่ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ซึ่งจะนำเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภาใน วันที่ 3 –4 มกราคม 2567 และคาดวาน่าจะเห็นเม็ดเงินจากงบประมาณถูกนำมาใช้จ่ายได้ ช่วงกลาง 2Q67 ทำให้การขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ของภาครัฐเป็นรูปธรรม มากขึ้น ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเป็นมติ ครม. เช่นกัน ที่เห็นชอบกรอบเงินเฟ้อปี 2567 ที่ 1 – 3% ทั้งนี้เมื่อเทียบกับสถานการณ์เงินเฟ้อปัจจุบัน จะเปิดทางให้ กนง. สามารถที่จะเดินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินได้สะดวกขึ้น
ยังไม่เห็นปัจจัยลบเข้ามาสร้างแรงกดดัน โอกาสที่จะเห็น Window Dressing ตาม ด้วย January Effect มีความเป็นได้มาก กำหนดกรอบ SET Index ที่ 1408 –1420 จุด หุ้น Top Pick เลือก CPN, CRC และ COM7
ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2566 พบว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของ "โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ" หนึ่งในนักธุรกิจชื่อดังในกลุ่มไทยซัมมิทคอร์ป และนักลงทุนรายใหญ่ที่มีพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นไทยมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท
ล่าสุดพบว่า "โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ" ได้มีการลดสัดส่วนถือหุ้นCV โดยไม่ปรากฎรายชื่อการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากเดิมที่เคยถือลงทุน จำนวน 15,356,300 ล้านหุ้นคิดเป็น 1.20 % สอดคล้องกับผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อย่าง "เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล"ก็ได้มีการลดสัดส่วนถือหุ้นล่าสุด ถือครอง 253,188,900 หุ้น คิดเป็น 19.78% จากเดิม 295,927,400 หุ้น คิดเป็น 23.12%
โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรกของ CV ณ 1 ธันวาคม 2566 ประกอบด้วย
รายชื่อ |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือครอง |
นาย เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล |
253,188,900 |
19.78 |
น.ส. นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล |
177,030,000 |
13.83 |
นาย วัชรินทร์ พงษ์วชิรินทร์ |
33,353,500 |
2.61 |
นาง อาทิตยา ชาญวีรกูล |
30,100,000 |
2.35 |
บริษัท ธนวรินทร์ จำกัด |
23,453,700 |
1.83 |
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด |
22,708,398 |
1.77 |
LGT BANK (SINGAPORE) LTD |
19,042,200 |
1.49 |
นาง หทัยรัตน์ จุฬางกูร |
18,020,000 |
1.41 |
นาย เอนก วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ |
15,870,000 |
1.24 |
นาย สุรนาท วงศ์ชนะภัย |
15,754,000 |
1.23 |
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในครั้งนี้ ก็น่าจะเกิดจากการประกาศเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยการประชุมคณะกรรมการบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติให้ยกเลิกการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ในราคา 1.0 บาทต่อหุ้น ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
โดยในการประชุมคณะกรรมการบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 11/2566 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติกำหนดราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ในราคา 0.50 บาทต่อหุ้น และกำหนดราคาการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (CV-W1) ในราคา 0.50 บาทต่อหุ้น เพื่อให้สอดคล้องกัน โดยจะเปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 5 - 19 มกราคม 2567
นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก เปิดเผยว่า เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และจากที่สถานการณ์สงครามในต่างประเทศส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งส่งผลให้ราคาซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมูลค่าลดลงต่ำกว่าราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน และต่ำกว่าราคาการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ
เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น และเพื่อให้การเพิ่มทุนของบริษัทฯ สามารถดำเนินการได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ ทางบริษัทฯ ได้ทำการยกเลิกและคืนเงินการรับจองซื้อหุ้นในราคา 1.0 บาทต่อหุ้นดังกล่าว และให้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายได้แก้ไขการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) เพื่อใช้สิทธิในการจองซื้อหุ้นในราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ได้กำหนดใหม่ ให้สอดคล้องกับราคาซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน
สำหรับสรุปภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือน ของกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 876.44 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจาก กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า มีรายได้รวม 9 เดือน 435.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.61 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า ส่วนกลุ่มธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้รวม 9 เดือน 390.57 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิง มีรายได้รวม 9 เดือน 44.58 ล้านบาท
โดยสำหรับในไตรมาสที่ 4 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเพิ่มปริมาณงานซื้อขายเชื้อเพลิงขยะ เตรียมลงนามสัญญาซื้อขาย Wood Pallet พร้อมกับพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะร่วมกับพันธมิตร และรับงาน EPC ในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากเข้ามา รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้ายังคงเดินหน้าเดินเครื่องตามปกติ