บล.กรุงศรี พัฒนสิน คาด ม.ค. 2024 มีโอกาสเกิดปรากฎการณ์ January Effect หนุน SET ให้ผลตอบแทนทางบวก 7 จาก 10 ปีย้อนหลังจากการซื้อและถือหุ้นเดือน ม.ค. โดย SET, SET50 และ MAI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.28%, +1.1% และ +2.59% ตามลำดับ
มอง 3 เหตุผลหลัก 1) ช่วงเดือน ธ.ค. 23 เม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติขาย SET สูงถึง 4.17 พันล้านบาท และทั้งปี 2023 มากถึง 1.964 แสนล้านบาท (vs ส่วนที่ซื้อในปี 2022 ที่ +2.0 แสนล้านบาท) 2) ความคาดหวังเชิงบวกในช่วงต้นปีต่อเศรษฐกิจไทยปี 2024 ที่จะกลับมาเติบโต > ศักยภาพ 3.0% กาไรตลาดปี 2024F +15.5%y-y ทั้งนี้ ในส่วนเม็ดเงินกองทุน LTF ปี 2017 แม้ประเมินมีส่วนที่ครบกาหนดขายได้โดยไม่เสียภาษีราว 1.0 หมื่นล้านบาท แต่มองกรอบ SET ช่วงปี 2017 ที่ 1527-1764 จุด สูงกว่าระดับปัจจุบัน เชื่อว่าจะมีแรงขายจำกัด
กลยุทธ์ ให้เน้นหุ้นในอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ม.ค. > SET คือ กลุ่มเกษตร TU กลุ่มเช่าซื้อ MTC, JMT กลุ่มธนาคาร KBANK กลุ่มสื่อสาร INTUCH, INSET กลุ่มขนส่ง AOT ส่วน MAI เรามองควรเน้นกลุ่มที่คาดหวังกำไรปี 2024F เติบโตสูง GFC (2024F EPS Growth +46%), BBIK(+40%), BE8(+38%), YGG(+33%),WARRIX(+26%), KLINIQ(+16%
บล.ฟินันเซีย คาดว่า January Effect มีโอกาสเกิดขึ้นกับ SET หลังจากดัชนีปรับตัวลงแรงในปี 2023
- ด้านตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่เรามองว่าปรับตัวขึ้นสะท้อนความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ FED และ soft Landing ไปค่อนข้างมาก ในฝั่งของไทยมอง GDP จะทยอยเร่งตัวใน 4Q23 เป็นต้นไป ปัจจัยที่ต้องติดตามในเดือน ม.ค. คือการเริ่มรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร.
- ยังคงเป้า SET target ปี 2024 ที่ 1,520 จุด และมองว่าระดับดัชนีปัจจุบันน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว. top pick ในปี 2024 ยังคงเป็น AOT, BCH, CPALL, CPN, GPSC, MINT, SJWD, TIDLOR, และ TU.
บล. เอเซีย พลัส มองตลาดหุ้นไทยปี เห็นว่ามีแต้มต่ออยู่หลายประการ เริ่มจากภาพเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะปี 2567 จะเติบโต 3.2 – 3.4% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตเศรษฐกิจโลกเฉพาะอย่างยิ่งประเทศพัฒนาแล้ว ส่วน EPS Growth ปี 2567 คาดหมายว่าจะเติบโต 12.6% ซึ่งถือเป็นการกลับมาเติบโตแบบ Double Digit ครั้งแรกในรอบหลายปี ส่วนทิศทางดอกเบี้ยโลกก็น่าจะอยู่ในขาลงชัดเจน โดยการปรับลดดอกเบี้ยของหัวขบวนอย่างสหรัฐ น่าจะเกิดขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าบ้านเรามาก ซึ่งในทางกลไกน่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบกับสหรัฐ องค์ประกอบดังกล่าวน่าจะเป็นแรงดึงดูดให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นบ้านเราได้เชื่อว่า SET Index อยู่ในจุดที่พร้อมขึ้น
ส่วน Investment Theme มี 3 Theme หลัก ได้แก่ หุ้นปันผลสูง อย่าง TISCO, หุ้น Free Float สูง อย่าง CPN และ หุ้น Easy E-Receipt อย่างเช่น COM7 ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน เชื่อว่า SET Index อยู่ในภาวะที่พร้อมปรับตัวขึ้น
มอง 3 เหตุผลหลัก 1) ช่วงเดือน ธ.ค. 23 เม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติขาย SET สูงถึง 4.17 พันล้านบาท และทั้งปี 2023 มากถึง 1.964 แสนล้านบาท (vs ส่วนที่ซื้อในปี 2022 ที่ +2.0 แสนล้านบาท) 2) ความคาดหวังเชิงบวกในช่วงต้นปีต่อเศรษฐกิจไทยปี 2024 ที่จะกลับมาเติบโต > ศักยภาพ 3.0% กาไรตลาดปี 2024F +15.5%y-y ทั้งนี้ ในส่วนเม็ดเงินกองทุน LTF ปี 2017 แม้ประเมินมีส่วนที่ครบกาหนดขายได้โดยไม่เสียภาษีราว 1.0 หมื่นล้านบาท แต่มองกรอบ SET ช่วงปี 2017 ที่ 1527-1764 จุด สูงกว่าระดับปัจจุบัน เชื่อว่าจะมีแรงขายจำกัด
กลยุทธ์ ให้เน้นหุ้นในอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ม.ค. > SET คือ กลุ่มเกษตร TU กลุ่มเช่าซื้อ MTC, JMT กลุ่มธนาคาร KBANK กลุ่มสื่อสาร INTUCH, INSET กลุ่มขนส่ง AOT ส่วน MAI เรามองควรเน้นกลุ่มที่คาดหวังกำไรปี 2024F เติบโตสูง GFC (2024F EPS Growth +46%), BBIK(+40%), BE8(+38%), YGG(+33%),WARRIX(+26%), KLINIQ(+16%
บล.ฟินันเซีย คาดว่า January Effect มีโอกาสเกิดขึ้นกับ SET หลังจากดัชนีปรับตัวลงแรงในปี 2023
- ด้านตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่เรามองว่าปรับตัวขึ้นสะท้อนความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ FED และ soft Landing ไปค่อนข้างมาก ในฝั่งของไทยมอง GDP จะทยอยเร่งตัวใน 4Q23 เป็นต้นไป ปัจจัยที่ต้องติดตามในเดือน ม.ค. คือการเริ่มรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร.
- ยังคงเป้า SET target ปี 2024 ที่ 1,520 จุด และมองว่าระดับดัชนีปัจจุบันน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว. top pick ในปี 2024 ยังคงเป็น AOT, BCH, CPALL, CPN, GPSC, MINT, SJWD, TIDLOR, และ TU.
บล. เอเซีย พลัส มองตลาดหุ้นไทยปี เห็นว่ามีแต้มต่ออยู่หลายประการ เริ่มจากภาพเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะปี 2567 จะเติบโต 3.2 – 3.4% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตเศรษฐกิจโลกเฉพาะอย่างยิ่งประเทศพัฒนาแล้ว ส่วน EPS Growth ปี 2567 คาดหมายว่าจะเติบโต 12.6% ซึ่งถือเป็นการกลับมาเติบโตแบบ Double Digit ครั้งแรกในรอบหลายปี ส่วนทิศทางดอกเบี้ยโลกก็น่าจะอยู่ในขาลงชัดเจน โดยการปรับลดดอกเบี้ยของหัวขบวนอย่างสหรัฐ น่าจะเกิดขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าบ้านเรามาก ซึ่งในทางกลไกน่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบกับสหรัฐ องค์ประกอบดังกล่าวน่าจะเป็นแรงดึงดูดให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นบ้านเราได้เชื่อว่า SET Index อยู่ในจุดที่พร้อมขึ้น
ส่วน Investment Theme มี 3 Theme หลัก ได้แก่ หุ้นปันผลสูง อย่าง TISCO, หุ้น Free Float สูง อย่าง CPN และ หุ้น Easy E-Receipt อย่างเช่น COM7 ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน เชื่อว่า SET Index อยู่ในภาวะที่พร้อมปรับตัวขึ้น