จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : TIDLOR หุ้นเด่นกลุ่มการเงินปี 67 “กำไรขยายตัวสูง-รายได้ค่าฟีแกร่ง”
05 มกราคม 2567
โบรกฯเอเอสแอล เลือก บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) เป็น Top pick ของกลุ่มการเงิน จากแนวโน้มกำไรสุทธิปี 24 ขยายตัวสูงสุดของกลุ่ม ทั้งการขยายตัวของสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ แรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินน้อยที่สุดในกล่มุ และรายได้ค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง
บล.เอเอสแอล วิเคราะห์หุ้น บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) โดยคาด 4Q23F มีกำไรสุทธิที่ 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%YoY (ขยายตัวสูงสุดในกลุ่มการเงิน) จากการขยายตัวของสินเชื่อ และรายได้ธุรกิจประกันที่ขยายตัว แต่ทรงตัว QoQ จากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล การเปิดสาขาในงวดอีกราว 16-20 สาขา (เป้า 50 สาขาใน 2H23 ซึ่งใน 3Q23 เปิดสาขาไปแล้ว 34 สาขา ส่งผลให้มีสาขา รวมอยู่ที่ 1,662 สาขา) รวมถึงค่าใช้จ่ายด้าน IT และการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น จากราคารถมือสองที่ลดลง แต่ชดเชยด้วยการรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่านายหน้าประกันภัย
TIDLOR ได้ปรับเป้าหมาย NPLs ratio ลงเป็นน้อยกว่า 1.65% จากเดิมที่น้อยกว่า 1.8% (9M23 อยู่ที่ 1.51% เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 1.6%) จากการ write-off และสินเชื่อที่ปล่อยใหม่มีคุณภาพดีขึ้น จากการชะลอการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุก ส่วนเป้าหมายอื่นยังคงเดิม โดยเป้าสินเชื่อขยายตัว 10-20% (9M23 ขยายตัว 21%YoY เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 20%YoY) รายได้ธุรกิจนายหน้าประกันภัยขยายตัว 20-25% (9M23 ขยายตัว 28%YoY เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 45%YoY) และ Credit cost ที่ 3.00-3.35% (9M23 อยู่ที่ 3.08% เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 3%)
ทั้งนี้ได้ประเมินกำไรสุทธิปี 23-24F ที่ 3.9 พันล้านบาท +7%YoY และ 4.8 พันล้านบาท +24%YoY ตามลำดับ
บล.เอเอสแอล ยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี24F ที่30 บาท อิง PBV ที่2.6 เท่า (GGM: LT ROE 14.6% Ke 12.1%) เลือกเป็น Top pick ของกลุ่มการเงิน เนื่องจาก
1. ความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โดยแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อโดยรวมปี 23-25F คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 17% ประกอบกับประสิทธิภาพของสาขาทำได้ดีที่สุดของกลุ่ม (Loan per branch 9M23 ที่ 55.3 ล้านบาท/สาขา) เอาชนะ สมหวังเงินสั่งได้ที่เป็นอันดับ 1 ในปี 20-22
2. แรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินน้อยที่สุดในกลุ่ม เมื่อพิจารณาผ่านอันดับเครดิตที่ระดับ “A” สูงที่สุดในกลุ่ม non-bank ประเภทสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ส่วนหนึ่งมาจากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง และการได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรีฯ (BAY) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (ถือ 30%)
3. แนวโน้มผลประกอบการกลับมาสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง เราประเมินกำไรสุทธิ 24-25F ขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 20% และคาดว่า ROE ผ่านจุดต่ำสุดในปี 23 ไปแล้ว
4. ราคาตอบสนองเรื่องการหลุดดัชนี SET50 ไปพอสมควรแล้ว เป็นจังหวะซื้อสะสม
ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานของ TIDLOR ที่ดี ยังสะท้อนจะการเสนอขายหุ้นกู้ 3 รุ่น เมื่อปลายเดือน พ.ย. 66 ที่ผ่านมา ในวงเงิน 4 พันล้านบาท ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม จากทั้งผู้ลงทุนสถานบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่ และผู้ลงทุนทั่วไป หลังการเสนอขายเมื่อวันที่ 24 และ 27-28 พ.ย. 66 โดยสามารถขายหมดได้ในเวลาอันรวดเร็วและมียอดจองซื้อเป็นจำนวนมาก
ทำให้บริษัทพิจารณาจัดสรรหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) อีกจำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนเพิ่มเติม โดยปิดการขายหุ้นกู้ที่มูลค่ารวม 5 พันล้านบาท แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงความสามารถในการควบคุม NPL และ Credit Cost ได้ตามเป้าหมาย
บล.เอเอสแอล วิเคราะห์หุ้น บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) โดยคาด 4Q23F มีกำไรสุทธิที่ 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%YoY (ขยายตัวสูงสุดในกลุ่มการเงิน) จากการขยายตัวของสินเชื่อ และรายได้ธุรกิจประกันที่ขยายตัว แต่ทรงตัว QoQ จากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล การเปิดสาขาในงวดอีกราว 16-20 สาขา (เป้า 50 สาขาใน 2H23 ซึ่งใน 3Q23 เปิดสาขาไปแล้ว 34 สาขา ส่งผลให้มีสาขา รวมอยู่ที่ 1,662 สาขา) รวมถึงค่าใช้จ่ายด้าน IT และการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น จากราคารถมือสองที่ลดลง แต่ชดเชยด้วยการรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่านายหน้าประกันภัย
TIDLOR ได้ปรับเป้าหมาย NPLs ratio ลงเป็นน้อยกว่า 1.65% จากเดิมที่น้อยกว่า 1.8% (9M23 อยู่ที่ 1.51% เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 1.6%) จากการ write-off และสินเชื่อที่ปล่อยใหม่มีคุณภาพดีขึ้น จากการชะลอการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุก ส่วนเป้าหมายอื่นยังคงเดิม โดยเป้าสินเชื่อขยายตัว 10-20% (9M23 ขยายตัว 21%YoY เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 20%YoY) รายได้ธุรกิจนายหน้าประกันภัยขยายตัว 20-25% (9M23 ขยายตัว 28%YoY เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 45%YoY) และ Credit cost ที่ 3.00-3.35% (9M23 อยู่ที่ 3.08% เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 3%)
ทั้งนี้ได้ประเมินกำไรสุทธิปี 23-24F ที่ 3.9 พันล้านบาท +7%YoY และ 4.8 พันล้านบาท +24%YoY ตามลำดับ
บล.เอเอสแอล ยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี24F ที่30 บาท อิง PBV ที่2.6 เท่า (GGM: LT ROE 14.6% Ke 12.1%) เลือกเป็น Top pick ของกลุ่มการเงิน เนื่องจาก
1. ความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โดยแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อโดยรวมปี 23-25F คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 17% ประกอบกับประสิทธิภาพของสาขาทำได้ดีที่สุดของกลุ่ม (Loan per branch 9M23 ที่ 55.3 ล้านบาท/สาขา) เอาชนะ สมหวังเงินสั่งได้ที่เป็นอันดับ 1 ในปี 20-22
2. แรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินน้อยที่สุดในกลุ่ม เมื่อพิจารณาผ่านอันดับเครดิตที่ระดับ “A” สูงที่สุดในกลุ่ม non-bank ประเภทสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ส่วนหนึ่งมาจากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง และการได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรีฯ (BAY) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (ถือ 30%)
3. แนวโน้มผลประกอบการกลับมาสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง เราประเมินกำไรสุทธิ 24-25F ขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 20% และคาดว่า ROE ผ่านจุดต่ำสุดในปี 23 ไปแล้ว
4. ราคาตอบสนองเรื่องการหลุดดัชนี SET50 ไปพอสมควรแล้ว เป็นจังหวะซื้อสะสม
ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานของ TIDLOR ที่ดี ยังสะท้อนจะการเสนอขายหุ้นกู้ 3 รุ่น เมื่อปลายเดือน พ.ย. 66 ที่ผ่านมา ในวงเงิน 4 พันล้านบาท ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม จากทั้งผู้ลงทุนสถานบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่ และผู้ลงทุนทั่วไป หลังการเสนอขายเมื่อวันที่ 24 และ 27-28 พ.ย. 66 โดยสามารถขายหมดได้ในเวลาอันรวดเร็วและมียอดจองซื้อเป็นจำนวนมาก
ทำให้บริษัทพิจารณาจัดสรรหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) อีกจำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนเพิ่มเติม โดยปิดการขายหุ้นกู้ที่มูลค่ารวม 5 พันล้านบาท แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงความสามารถในการควบคุม NPL และ Credit Cost ได้ตามเป้าหมาย