ภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่2 ของปี2567 ดัชนีหุ้นกระเตื้องมาได้เล็กน้อยราว 0.86% ขณะที่ปัจจัยที่มีอิทธิพลในช่วงนี้น่าจะเป็นเรื่องของการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย สำหรับ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีประเด็น Overhang กดดัน Fund Flow ชะลอ ช่วงนี้ เปิดปีใหม่ 2567 มา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีในสัปดาห์แรกของปี แต่เริ่มย่อตัวใน สัปดาห์นี้ พร้อมกับ Fund Flow ที่เริ่มกลับมาไหลออก โดยต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย - 3.3 พันล้านบาท (ytd)
ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ถูกขายสูงสุดในภูมิภาคในปีนี้ (ytd) -96.2 ล้าน เหรียญ ตามมาด้วยเวียดนาม -22 ล้านเหรียญ สวนทางกับประเทศส่วนใหญ่ที่ถูกซื้อ สุทธิ อาทิ ตลาดหุ้นอินเดีย +567 ล้านเหรียญ, เกาหลีใต้ +484 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย +259 ล้านเหรียญ, มาเลเซีย +120 ล้านเหรียญ, ไต้หวัน +46 ล้านเหรียญ , ฟิลิปปินส์ 44 ล้านเหรียญ
ประเด็นที่กดดันตลาดหุ้นไทยให้เกิด Overhang ในช่วงนี้ ความกังวลเรื่องผิดนัดชำระ หนี้ของบริษัท และเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ยังขาดความชัดเจน โดยฝ่าย วิจัยทำการค้นหาข้อมูลมูลค่าหุ้นกู้ในระบบอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท (จำนวน 2015 Issues) โดยเป็นหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุในปีนี้ 8.8 แสนล้านบาท (จำนวน 551 Issues , 193 บริษัท)รายละเอียดอื่นๆ จะนำเสนอต่อในระยะถัดไป
นอกจากนี้ยังมีประเด็นรอความชัดเจนจากโครงการกระเป๋าตังค์ดิจิตอล รวมถึง ความต่อเนื่องของนโยบายการลดค่าไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร กลยุทธ์แนะนำมีหุ้นสถานะ การเงินแข็งแกร่งปันผลสูงติดพอร์ตในช่วงนี้ SCCC มี Dividend Yield 5.8% AP 5.8%, INTUCH 6.3%, MAJOR 5.1%, TISCO 8.0%
ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนการลงทุนของ "นิติ โอสถานุเคราะห์" นักลงทุนรายใหญ่ ทายาทอาณาจักรโอสถสภา ซึ่งได้ขึ้นแท่นฐานะเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 ในปี 2566 โดยล่าสุดมีการถือครองหุ้น จำนวน 9 บริษัท มีมูลค่าการถือครองรวม 57,989 ล้านบาทเทียบกับ มูลค่าการถือครองหุ้นช่วงต้นปี 2566 อยู่ที่ 68,038 ล้านบาท ประกอบด้วย
หุ้น |
จำนวน(หุ้น) |
%การถือหุ้น |
BKI |
2,224,362 |
2.09 |
CENTEL |
41,314,611 |
3.06 |
CPALL |
138,986,600 |
1.55 |
CPN |
83,234,500 |
1.85 |
HMPRO |
665,764,862 |
5.06 |
IRC |
2,838,000 |
1.48 |
MINT |
537,090,652 |
9.6 |
OSP |
723,097,300 |
24.07 |
WHA |
436,438,690 |
2.92 |
จากข้อมูลในตาราง พบว่า "นิติ โอสถานุเคราะห์"ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นIRC หรือ บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยถือหุ้นจำนวน 2,838,000 หุ้น คิดเป็น1.48% หากนำไปเปรียบเทียบกับการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นในครั้งก่อนไม่ปรากฎการถือหุ้นในรายชื่อ 10 อันดับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทดังกล่าว
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นIRC ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2566 ดังนี้
ผู้ถือหุ้น |
จำนวนหุ้น (หุ้น) |
%หุ้น |
บริษัท อีโนเว รับเบอร์ จำกัด |
68,600,000 |
35.69 |
บริษัท โสภากนกอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด |
50,666,000 |
26.36 |
นาย วิชรัตน์ ชวาลอัมพร |
8,149,999 |
4.24 |
นาง พิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล |
5,568,575 |
2.9 |
นาง พรทิพย์ เศรษฐีวรรณ |
4,884,875 |
2.54 |
นาย อภิชาต ลี้อิสสระนุกูล |
4,697,700 |
2.44 |
นาย ทนง ลี้อิสสระนุกูล |
4,370,500 |
2.27 |
นาง พรดี ลี้อิสสระนุกูล |
3,200,000 |
1.66 |
นาย วิริยะ ตรังอดิศัยกุล |
3,091,200 |
1.61 |
นาย นิติ โอสถานุเคราะห์ |
2,838,000 |
1.48 |
ส่วนการเคลื่อนไหวราคาหุ้นIRC ในช่วงตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2566 ถึง 5 ม.ค. 2567 ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.22% จากราคา 13.40 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่14.10 บาท และเป็นราคาสูงสุด ดังนั้นน่าจะสะท้อนให้เห็นว่า บุคคลดังกล่าวจะมีมูลค่าการถือครองเพิ่มขึ้นในทันที
อนึ่ง บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอีลาสโตเมอร์ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ และธุรกิจด้านการผลิตยางนอก-ยางในของรถจักรยานยนต์ที่มีคุณภาพสูงมาตรฐานโลก
ที่ผ่านมาได้มีการเซ็นMOU ร่วมลงนามกับ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)ในโครงการการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับผลิตภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้และประสบการณ์ในกระบวนการกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำและการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
"พิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกู" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ IRC กล่าวว่า วิสัยทัศน์และแนวทางการปฏิบัติงานของ IRC คือการเป็นองค์กรที่บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจภายในปี 2050 ซึ่งที่ผ่านมาทางบริษัทได้มีนโยบายลดโลกร้อนด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการทำกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเริ่มดำเนินการทำเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรทั้ง Scope I และ Scope II ตั้งแต่ปี 2022-2024 สำหรับ Scope III เป็นเรื่องเกี่ยวกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ หรือเน้นทำกับ Supply Chain เช่น วัตถุดิบตั้งต้นที่ซื้อมา การขนส่งจากผู้ผลิตวัตถุดิบ การเดินทางของลูกค้าและผู้มาติดต่อ เป็นต้น ความร่วมมือระหว่าง IRC กับ DPU ครั้งนี้ จะมีการศึกษาเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ คาร์บอนเครดิตพร้อมทำการประเมิน Scope III ร่วมกัน เพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายสู่การเป็น Net Zero