Fund / Insurance
FINNOMENA FUNDS ชี้ถึงเวลาคว้าโอกาสลงทุนหุ้นไทย พร้อมคัดกองทุนเด่นเฟ้นโอกาสร้บตลาดหุ้นไทยเทิร์นอะราวด์
11 มกราคม 2567
FINNOMENA FUNDS (ฟินโนมีนา ฟันด์) เปิดมุมมองโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปี 2567 กำลังพลิกฟื้นเป็นขาขึ้น รับปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้น ประเมินเป้าหมายดัชนี SET Index กรณี Bull Case ที่ระดับ 1,530 จุด แนะเป็นจังหวะเข้าเก็งกำไรในระยะสั้น-กลาง ผ่านกองทุนหุ้นไทย Mid-Small Cap และกองทุนหุ้นไทยปันผลที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
FINNOMENA FUNDS Investment Team ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุน และคำแนะนำซื้อขายกองทุนรวมชั้นนำของประเทศไทย เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนในทุกสถานการณ์ ด้วยคำแนะนำที่เป็นกลาง ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยน่าผิดหวัง โดย SET Index ให้ผลตอบแทนติดลบ -15% ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี มองว่าภาพการลงทุนหุ้นไทยปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น ทั้งภาคการส่งออกกลับมาเติบโต ตัวเลขนักท่องเที่ยวค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยมุมมองนักวิเคราะห์ (Bloomberg Consensus) คาดว่า GDP ไทยปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ หุ้นไทยถือว่ามีมูลค่าที่น่าสนใจ Valuation ถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในอดีต พบว่าหากปีก่อนหน้าทำผลงานย่ำแย่ ปีถัดมาหุ้นไทยมักสร้างผลตอบแทนเป็นบวก จึงมองว่าเวลานี้เป็นจังหวะเข้าสะสมกองทุนหุ้นไทยที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะสั้น-ระยะกลาง ภายใต้คำแนะนำในรูปแบบ Tactical Call ผ่านมุมมองการลงทุนของ Mr.Messenger Call และ FundTalk Call
นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO & Co-founder ของ FINNOMENA FUNDS เปิดเผยว่า “มุมมองการลงทุน Mr.Messenger Call ที่เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะลงทุนในตลาดขาขึ้น เห็นว่าหุ้นไทยตอนนี้เริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะดัชนี sSET หุ้นไทยขนาดกลาง-ขนาดเล็กที่โมเมนตัมกำลังเป็นขาขึ้น เพราะฉะนั้น จึงเล็งเห็นโอกาสเข้าเก็งกำไรหุ้นไทยผ่านกองทุน ASP-SME-A แนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี sSET ไม่เกินระดับ 902 จุด Take Profit เมื่อ sSET ปรับตัวขึ้นถึง 995 จุด และแนะนำ Limit Loss เมื่อดัชนีปิดตลาดต่ำกว่า 864 จุด”
สำหรับกองทุน ASP-SME-A เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี Market Cap. ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท เน้นคัดเลือกบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสไตล์การลงทุนหุ้นเล็กโตแรง ฟื้นตัวไว
นายเจษฎา สุขทิศ CEO & Co-founder ของ FINNOMENA Group กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของมุมมองการลงทุน FundTalk Call ที่เน้นกลยุทธ์สไตล์ The Contrarian ด้วยการวิเคราะห์อารมณ์ตลาด พร้อมกับพิจารณา Valuation เพื่อสร้างโอกาสเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ก็มองเห็นตรงกันว่าถึงเวลาลงทุนหุ้นไทยแล้ว จากปัจจัยบวกทั้งในแง่บรรยากาศเศรษฐกิจ การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน โอกาสเห็น fund flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลัง Fed เข้าสู่วงจรการหยุดขึ้นดอกเบี้ย และเชื่อว่าน่าจะมี Positive Surprise จากการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของหุ้นไทยตามมา จึงแนะนำลงทุนในกองทุน TISCOHD-A รับปัจจัยบวกดังกล่าว”
สำหรับ TISCOHD-A เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SETHD ซึ่งมีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งที่ผ่านมาให้ Dividend Yield สูงถึง 6.5% อีกทั้งยังเป็นกองทุนที่มี PE ต่ำกว่าดัชนี SET ซึ่งจะได้รับอานิสงส์หากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสไตล์การลงทุนหุ้นใหญ่ มั่นคงสูง
ทั้งนี้ กองทุน TISCOHD-A และ ASP-SME-A ถือเป็นกองทุนหุ้นไทย 2 สไตล์ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังยอดเยี่ยม สามารถสร้างผลตอบแทนรายเดือนชนะดัชนีเป็นส่วนใหญ่ และมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง จึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์ชัดเจนสำหรับนักลงทุนสาย Value focus และ Value-growth style
FINNOMENA FUNDS Investment Team ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการลงทุน และคำแนะนำซื้อขายกองทุนรวมชั้นนำของประเทศไทย เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการลงทุนในทุกสถานการณ์ ด้วยคำแนะนำที่เป็นกลาง ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยน่าผิดหวัง โดย SET Index ให้ผลตอบแทนติดลบ -15% ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ย่ำแย่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี มองว่าภาพการลงทุนหุ้นไทยปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น ทั้งภาคการส่งออกกลับมาเติบโต ตัวเลขนักท่องเที่ยวค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยมุมมองนักวิเคราะห์ (Bloomberg Consensus) คาดว่า GDP ไทยปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ หุ้นไทยถือว่ามีมูลค่าที่น่าสนใจ Valuation ถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในอดีต พบว่าหากปีก่อนหน้าทำผลงานย่ำแย่ ปีถัดมาหุ้นไทยมักสร้างผลตอบแทนเป็นบวก จึงมองว่าเวลานี้เป็นจังหวะเข้าสะสมกองทุนหุ้นไทยที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะสั้น-ระยะกลาง ภายใต้คำแนะนำในรูปแบบ Tactical Call ผ่านมุมมองการลงทุนของ Mr.Messenger Call และ FundTalk Call
นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO & Co-founder ของ FINNOMENA FUNDS เปิดเผยว่า “มุมมองการลงทุน Mr.Messenger Call ที่เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะลงทุนในตลาดขาขึ้น เห็นว่าหุ้นไทยตอนนี้เริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะดัชนี sSET หุ้นไทยขนาดกลาง-ขนาดเล็กที่โมเมนตัมกำลังเป็นขาขึ้น เพราะฉะนั้น จึงเล็งเห็นโอกาสเข้าเก็งกำไรหุ้นไทยผ่านกองทุน ASP-SME-A แนะนำเข้าลงทุนที่ดัชนี sSET ไม่เกินระดับ 902 จุด Take Profit เมื่อ sSET ปรับตัวขึ้นถึง 995 จุด และแนะนำ Limit Loss เมื่อดัชนีปิดตลาดต่ำกว่า 864 จุด”
สำหรับกองทุน ASP-SME-A เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี Market Cap. ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท เน้นคัดเลือกบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสไตล์การลงทุนหุ้นเล็กโตแรง ฟื้นตัวไว
นายเจษฎา สุขทิศ CEO & Co-founder ของ FINNOMENA Group กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของมุมมองการลงทุน FundTalk Call ที่เน้นกลยุทธ์สไตล์ The Contrarian ด้วยการวิเคราะห์อารมณ์ตลาด พร้อมกับพิจารณา Valuation เพื่อสร้างโอกาสเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ก็มองเห็นตรงกันว่าถึงเวลาลงทุนหุ้นไทยแล้ว จากปัจจัยบวกทั้งในแง่บรรยากาศเศรษฐกิจ การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน โอกาสเห็น fund flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลัง Fed เข้าสู่วงจรการหยุดขึ้นดอกเบี้ย และเชื่อว่าน่าจะมี Positive Surprise จากการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของหุ้นไทยตามมา จึงแนะนำลงทุนในกองทุน TISCOHD-A รับปัจจัยบวกดังกล่าว”
สำหรับ TISCOHD-A เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 6) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SETHD ซึ่งมีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งที่ผ่านมาให้ Dividend Yield สูงถึง 6.5% อีกทั้งยังเป็นกองทุนที่มี PE ต่ำกว่าดัชนี SET ซึ่งจะได้รับอานิสงส์หากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสไตล์การลงทุนหุ้นใหญ่ มั่นคงสูง
ทั้งนี้ กองทุน TISCOHD-A และ ASP-SME-A ถือเป็นกองทุนหุ้นไทย 2 สไตล์ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังยอดเยี่ยม สามารถสร้างผลตอบแทนรายเดือนชนะดัชนีเป็นส่วนใหญ่ และมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง จึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์ชัดเจนสำหรับนักลงทุนสาย Value focus และ Value-growth style