นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แสดงความมั่นใจในแนวโน้มธุรกิจของบริษัท จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมในยุโรปและประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา โดย MINT ได้ใช้เงินสดจากธุรกิจในยุโรปจำนวนกว่า 133 ล้านยูโร ร่วมกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อื่นๆ เพื่อลดหนี้ในเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ธุรกิจโรงแรม (System-wide) ในประเทศไทยยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในเดือนธันวาคมมีอัตราการเข้าพัก (Occupancy) อยู่ที่ 75% พร้อมการเติบโตของราคาห้องเฉลี่ยต่อคืน (Average daily rate) ที่ 10% เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา นับเป็นการเติบโตของอัตราการเข้าพักและราคาห้องเฉลี่ยต่อคืนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับทั้งปี 2565 และช่วงก่อนโควิดในปี 2562 ซึ่งแนวโน้มการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้จะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่ช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net interest-bearing debt to equity ratio) ลงอีกอย่างมีนัยยะสำคัญจากระดับ 1 เท่า ณ สิ้นปี 2566 ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยต่ำลงและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ในขณะที่นักวิเคราะห์หุ้นจากเกียรตินาคินภัทรและกสิกรไทยแนะนำหุ้น MINT เป็น Top pick ในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว จากแนวโน้มการเติบโตของกำไรของบริษัทในปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์การเดินทางในยุโรปและประเทศไทย พร้อมทั้งปัจจัยบวกจากแรงหนุนของมาตรการฟรีวีซ่าไทยจีนถาวร อีกทั้งหุ้น MINT ยังมี Upside เก็งประเด็นขยายฟรีวีซ่าเข้าไทยให้แก่ชาวอินเดียและไต้หวัน และที่สำคัญ MINT ยังซื้อขายในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง จาก EV/EBITDA ปัจจุบันเพียง 8 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่ 11 เท่า และเทียบค่าเฉลี่ยในอดีตของ MINT ที่ 13 เท่า
ในขณะที่นักวิเคราะห์หุ้นจากเกียรตินาคินภัทรและกสิกรไทยแนะนำหุ้น MINT เป็น Top pick ในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว จากแนวโน้มการเติบโตของกำไรของบริษัทในปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์การเดินทางในยุโรปและประเทศไทย พร้อมทั้งปัจจัยบวกจากแรงหนุนของมาตรการฟรีวีซ่าไทยจีนถาวร อีกทั้งหุ้น MINT ยังมี Upside เก็งประเด็นขยายฟรีวีซ่าเข้าไทยให้แก่ชาวอินเดียและไต้หวัน และที่สำคัญ MINT ยังซื้อขายในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง จาก EV/EBITDA ปัจจุบันเพียง 8 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่ 11 เท่า และเทียบค่าเฉลี่ยในอดีตของ MINT ที่ 13 เท่า