บล.เอเชียพลัส มองความเสี่ยง DOWNSIDE เศรษฐกิจไทย มาจากตัวเลขเงินเฟ้อไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ติดลบทุกเดือน อาจเกิดจากภาคบริโภคที่ชะลอตัว พร้อมกับนักท่องเที่ยวที่ยังกลับเข้ามาได้ไม่เต็มที่ ทำให้ GDP Growth ปี 2566 อาจเติบโตต่ำกว่าประมาณการของหลายสำนักเศรษฐกิจที่อยู่ช่วง 2.5%-3.0% ขณะที่โครงการ Digital Wallet มีโอกาสล่าช้า ออกไป หลังเดือน พ.ค.67 โดยท่าที่ของรัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะยุติโครงการ Digital Wallet ด้วยประเด็นดังกล่าวทำให้วันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติ และ สถาบันขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 580 ล้านบาท และ 1233 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี จะเห็นได้ว่า Fund flow ต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น 2 ประเทศ คือ ไต้หวัน และ ไทย กว่า 1836 ล้านเหรียญฯ และ 488 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ จึงทำให้ตลาดหุ้นทั้ง 2 ประเทศ ปรับตัวลงตั้งแต่ต้นปี 1.4% และ 2.4% ตามลำดับ ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่ Fund flow ต่างชาติซื้อสุทธิ ดังรูปด้านล่าง
ดังนั้นด้วย Flow ต่างชาติที่ทยอยไหลออกจากหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติยังอยู่ในระดับต่ำ โดยถือครองทางตรงอยู่ที่ระดับ 23.88% (หากไม่นับ DELTA เหลือ 19.52%) เมื่อรวมกับ NVDR จะเป็น 29.52% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าอดีตอยู่มาก อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในเชิงกลับกัน จึงมีช่องว่างอีกมากให้ต่างชาติซื้อสุทธิ และเปิด UPside ต่อตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป หากประมาณการเศรษฐกิจ และ กำไรบริษัทจดทะเบียน ดูดีขึ้นในอนาคต
สรุป Fund flow ต่างชาติทยอยไหลออกจากตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้ SET Index ปรับตัวลง 2.4% อย่างไรก็ตามหากประมาณการเศรษฐกิจ และ กำไรบริษัทจดทะเบียน ดูดีขึ้นในอนาคต อาจเป็นตัวชี้นำให้ FLow ต่างชาติไหลเข้า SET Index ได้ไม่ยากนัก เนื่องจาก มีช่องว่างให้ซื้อสุทธิอีกมากโดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET index อยู่ที่ 1377-1393 จุด