แสนสิริ หวังจีดีพีโต5% กางแผนปี’67 ทุ่มหมื่นล้านซื้อที่ดิน เปิด 46 โครงการ ขยายพอร์ตบ้านหรู บุกเมืองท่องเที่ยว
วันที่ 23 มกราคม นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีที่แสนสิริก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 และผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง และปีนี้มีเป้าหมายกำไรสุทธิที่คาดว่ามีผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี ต่อเนื่องจากปี 2566 ที่บริษัทเปิด 44 โครงการ มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคาและทุกทำเล
“ปัจจัยน่าห่วง คือ ภูมิรัฐศาสตร์ สงครามที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยโดนหางเลข ส่งออกไม่ดี ถ้าไม่รบกัน ไม่ขึ้นดอกเบี้ย น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งส่งออกและการท่องเที่ยวเรายังพอไปได้ ซึ่งเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี อยู่ที่จีดีพีเราดีหรือเปล่า ถ้าจีดีพีประเทศเราดี อสังหาก็ดี ถ้าจีดีพีได้ถึง 5% ถึงจะถือว่าเศรษฐกิจดี เราก็หวังว่าจะดี”นายอภิชาติกล่าว
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดตัว 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท ในกรุงเทพ ปริมณฑล 33 โครงการ มูลค่าค่า 45,000 ล้านบาทและต่างจังหวัด 13 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน อยุธยา ฉะเชิงเทรา โดยโครงการใหม่แบ่งเป็นแนวราบ 26 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท
นายอุทัยกล่าวว่า โดยตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท แยกเป็นคอนโดมิเนียม 21,000 ล้านบาท แนวราบ 31,000 ล้านบาทและเป้าหมายยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 13,000 ล้านบาท และแนวราบ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่เปิดตัว 44 โครงการ มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 14 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท แนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 47,000 ล้านบาท มียอดขาย 49,000 ล้านบาท และยอดโอน 39,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 13,000 ล้านบาท และแนวราบ 26,000 ล้านบาท โดยสามารถปิดการได้ 28 โครงการ มูลค่ารวม 51,000 ล้านบาท
“ปัจจุบันมียอดขายที่รอหรือแบ็กล็อกกว่า 18,000 ล้านบาท จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตให้กับยอดโอนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมขายอยู่ในมือ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม คิดเป็นมูลค่ารวม 24,220 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 11,840 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 12,380 ล้านบาท กระจายอยู่ทั่วประเทศร่วม 174 โครงการ”นายอุทัยกล่าว
นายอุทัยกล่าวว่า สำหรับไฮไลต์ในปี 2567 ในส่วนของแนวราบจะเพิ่มบ้านลักชัวรี่มากขึ้น เช่น นาราสิริ บางนา กม.10 มูลค่า 3,800 ล้านบาท เริ่มต้น 55-120 ล้านบาท ต่อยอดแบรนด์เศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่า 14,400 ล้านบาท สราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่า 9,100 ล้านบาท และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่า 4,100 ล้านบาท พร้อมเปิด 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ณริณสิริ บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมโครงการแรก ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1,800 ล้านบาท เริ่มต้น 45-70 ล้านบาท และ มาเบิล บ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาท ที่บางนา 26 มูลค่า 850 ล้านบาท และElse (เอลส์) ราคา 20-60 ล้านบาท มูลค่า 840 ล้านบาท
นายอุทัยกล่าวว่าขณะที่คอนโดมิเนียมมีบุกหัวเมืองท่องเที่ยว 9 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท โดยมีไฮไลต์เปิดขายโครงการแบรนด์เดดเรสซิเดนซ์ เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน มูลค่า 4,100 ล้านบาท เปิดตัวเวีย 2 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ย่านสุขุมวิท 34 และ 61 ขยายตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่ายเป็นแคมปัสคอนโด เปิดตัวดีคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 2,800 ล้านบาท รวมถึงแบรนด์เดอะ มูฟและเดอะ เบส จะรีเฟรชแบรนด์ใหม่เปิด 3 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท
นายอุทัยกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ คือ pynn ที่ซอยศูนย์วิจัยกับปรีดี 20 เป็นคอนโดมิเนียมระดับกลาง โดยทุกโครงการจะเปิดปีนี้มีที่ดินพร้อมพัฒนาแล้ว โดยปีนี้ตั้งงบ 10,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการในปี2568 ขณะเดียวกันยังเปิดรับพันธมิตรร่วมลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น และเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ ที่อยู่ระหว่างการเจรจา รวมถึงมีแผนออกหุ้นกู้ใหม่ วงเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท จะเป็นการทยอยออกต่อเนื่องภายในปีนี้
“ส่วนตลาดต่างชาติปี 2567 ยังบุกต่อเนื่อง รองรับการท่องเที่ยวฟื้นตัว ตั้งเป้ายอดขาย 7,000 ล้านบาท เติบโต 15% จากปี 2566 มียอดขาย 6,100 ล้านบาท ลูกค้าหลักยังเป็นจีน และรัสเซียและปีนี้เชื่อว่าลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้น”นายอุทัยกล่าว
นายอุทัยกล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 น่าจะทรงตัว โดยกำลังซื้อส่งผลกระทบบ้างในกลุ่มระดับกลาง-ล่าง ซึ่งลูกค้าใช้เวลาตัดสินใจซื้อนานขึ้น ซึ่งแนวราบจะเป็นทาวน์เฮาส์ ส่วนคอนโดมิเนียมกลุ่มต่ำราคา 3 ล้านบาท ขณะที่ตลาดระดับบนยังไปได้เพราะส่วนใหญ่ซื้อสด ซึ่งแสนสิริมีสัดส่วนที่ลูกค้าซื้อสดอยู่ที่ 30% และมียอดรีเจ็กต์เรตกลุ่มระดับกลาง-บนอยู่ที่ 7%และกลุ่มระดับล่าง 10-20%
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีปัจจัยความท้าทายต่อเนื่องจากปี 2566 คือ อัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือน ความมั่นใจของนักลงทุนตลาดทุน และการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) ใช้เวลานาน ทำให้บริษัทเลื่อนเปิดคอนโดมิเนียมบางโครงการมาเปิดในปี 2567
นายภูมิภักดิ์กล่าวว่า เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย
ประกอบไปด้วย 1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปี ล่าสุด 2566 อยู่ที่ 12.4%
2. บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล สร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขัน ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นวินัยการลงทุน เมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท จะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า พร้อมสานต่อโมเดลแสนสิริ คอมมูนิตี้ อีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา
3. ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น
ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_4390879