คำว่า ROE เป็นอีก 1 ศัพท์ที่นักลงทุนไม่ว่าเก่าหรือใหม่ต้องเคยผ่านตากันมาเมื่อมีความสนใจศึกษาข้อมูลพื้นฐานธุรกิจต่างๆ ประโยชน์ของมันสามารถเป็นตัวช่วยในการคัดเลือกบริษัทเพื่อลงทุน โดยพิจารณาเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเดียวกัน หากค่านี้อยู่ในเกณฑ์ดีย่อมมีโอกาสสูงมากที่หุ้นตัวนั้นๆ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยได้
ROE ย่อมาจาก Return on Equity แปลเป็นไทยว่า "อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น" เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ช่วยให้เห็นภาพได้ว่าจากเงิน 100 บาทของผู้ถือหุ้น บริษัทสามารถนำไปสร้างกำไรได้กี่บาท
โดยคำนวณจากการนำกำไรสุทธิของบริษัท มาหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE = กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น หลังจากนั้นนำไปคูณกับ 100) วัดผลออกมาเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ (%)
ทั่วๆ ไปสำหรับการลงทุนหุ้นโดยพิจารณาค่า ROE ค่าที่ได้ควรสูงถึงจะดีกว่า ทว่าก็จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างรายได้ของธุรกิจนั้นๆ ด้วยว่า ค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเป็นเท่าไหร่ แน่นอนว่าหากสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ย่อมถือว่าน่าพอใจ
ข้อควรระวังในการประเมินค่านี้ เป็นจำพวกธุรกิจที่มีแหล่งที่มารายได้จากกิจการย่อยที่หลากหลายทำให้ในงบรวมค่ากำไรในบางงวดอาจสูงหรือต่ำเกินความจริงจากประเด็นการรับรู้ทางบัญชี หรือบางธุรกิจอาจมีการรับรู้กำไรพิเศษหรือบันทึกสำรองการขาดทุนเป็นครั้งคราวที่อาจจำเป็นต้องแยกออกมาพิจารณาเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนในมุมมองอื่น
ยกตัวอย่างการคำนวณ ROE หุ้น สมมุติบริษัท ABC มีกำไรสุทธิในปี 2566 เท่ากับ 100 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 500 ล้านบาท ROE ของบริษัท ABC ในปี 2566 เท่ากับ
ROE = (100 ล้านบาท / 500 ล้านบาท) * 100 = 20%
หมายความว่า บริษัท ABC สามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ 20% จากเงินลงทุน 100 บาท
หากต้องการเปรียบเทียบ ROE ของบริษัท ABC กับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เราสามารถคำนวณ ROE เฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ โดยดูจากรายงานประจำปีของสมาคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (SET) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งประการที่ต้องใส่ใจเมื่อจะนำเอาค่า % ROE มาใช้เปรียบเทียบก็คือ ช่วงระหว่างที่งบยังออกไม่เต็มปี และ/หรือรวมไปถึงช่วงที่มีการทยอยประกาศงบการเงินนั้น เราจะต้องถี่ถ้วนในการรวบรวมฐานข้อมูลตัวเลขจากงบในงวดเดียวมาเปรียบเทียบ หรือการนำค่าเฉลี่ยขออุตสาหกรรมมาใช้เทียบก็จำต้องระลึกไว้ว่าอาจเสี่ยงคลาดเคลื่อนบ้าง
ดังนั้นวิธีที่ง่ายกว่าก็คือการ คัดเฉพาะหุ้นที่เราสนใจเพียงไม่กี่ตัวที่ทำธุรกิจเหมือนกันมาเทียบกันเลย ซึ่งจะลดความคลาดเคลื่อนได้จากเหตุที่ระบุไปข้างต้น
หรืออีกวิธีที่นิยมกันอย่างแพร่หลายก็คือ การดูพัฒนาการของ ROE ว่าค่านี้ในงบที่ผ่านๆ มาดีขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ เช่นเอาค่าล่าสุดไปเทียบกับงบไตรมาสก่อนหน้า หรือช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ได้ซึ่งหากดีกว่ากันมากๆ ก็เท่ากับน่าสนใจลงทุน
สำหรับหลักทรัพย์จากทั้งตลาด SET และ mai ที่มีค่า อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (% ROE) เปลี่ยนแปลงแบบ QoQ มากที่สุดอิงงบไตรมาส 3/2023 โดยค่าสูงกว่า 100% มีราว 27 อันดับแรกดังนี้
จากข้อมูลตารางนี้ หลายตัวดูดีมากๆ แต่ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าหุ้นเหล่านี้ดีหรือไม่ การลงทุนหุ้นในเชิงพื้นฐานควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เช่น การเติบโตของรายได้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน แนวโน้มของอุตสาหกรรม และปัจจัยทางเศรษฐกิจ เป็นต้น และที่อยากจะนำเสนอเพิ่มเติมคือคำว่า คำว่า ROA ซึ่งเป็นอีก 1 ศัพท์ที่มักพ่วงมาคู่กันกับ ROE หากค่านี้อยู่ในเกณฑ์ดีย่อมจะเน้นย้ำชี้วัดหุ้นตัวนั้นๆ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยได้โดยในรายละเอียดนั้นติดตามได้ใน Share2Trade.com แห่งนี้
ROE ย่อมาจาก Return on Equity แปลเป็นไทยว่า "อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น" เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ช่วยให้เห็นภาพได้ว่าจากเงิน 100 บาทของผู้ถือหุ้น บริษัทสามารถนำไปสร้างกำไรได้กี่บาท
โดยคำนวณจากการนำกำไรสุทธิของบริษัท มาหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE = กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น หลังจากนั้นนำไปคูณกับ 100) วัดผลออกมาเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ (%)
ทั่วๆ ไปสำหรับการลงทุนหุ้นโดยพิจารณาค่า ROE ค่าที่ได้ควรสูงถึงจะดีกว่า ทว่าก็จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างรายได้ของธุรกิจนั้นๆ ด้วยว่า ค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเป็นเท่าไหร่ แน่นอนว่าหากสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ย่อมถือว่าน่าพอใจ
ข้อควรระวังในการประเมินค่านี้ เป็นจำพวกธุรกิจที่มีแหล่งที่มารายได้จากกิจการย่อยที่หลากหลายทำให้ในงบรวมค่ากำไรในบางงวดอาจสูงหรือต่ำเกินความจริงจากประเด็นการรับรู้ทางบัญชี หรือบางธุรกิจอาจมีการรับรู้กำไรพิเศษหรือบันทึกสำรองการขาดทุนเป็นครั้งคราวที่อาจจำเป็นต้องแยกออกมาพิจารณาเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนในมุมมองอื่น
ยกตัวอย่างการคำนวณ ROE หุ้น สมมุติบริษัท ABC มีกำไรสุทธิในปี 2566 เท่ากับ 100 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 500 ล้านบาท ROE ของบริษัท ABC ในปี 2566 เท่ากับ
ROE = (100 ล้านบาท / 500 ล้านบาท) * 100 = 20%
หมายความว่า บริษัท ABC สามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ 20% จากเงินลงทุน 100 บาท
หากต้องการเปรียบเทียบ ROE ของบริษัท ABC กับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เราสามารถคำนวณ ROE เฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ โดยดูจากรายงานประจำปีของสมาคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (SET) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งประการที่ต้องใส่ใจเมื่อจะนำเอาค่า % ROE มาใช้เปรียบเทียบก็คือ ช่วงระหว่างที่งบยังออกไม่เต็มปี และ/หรือรวมไปถึงช่วงที่มีการทยอยประกาศงบการเงินนั้น เราจะต้องถี่ถ้วนในการรวบรวมฐานข้อมูลตัวเลขจากงบในงวดเดียวมาเปรียบเทียบ หรือการนำค่าเฉลี่ยขออุตสาหกรรมมาใช้เทียบก็จำต้องระลึกไว้ว่าอาจเสี่ยงคลาดเคลื่อนบ้าง
ดังนั้นวิธีที่ง่ายกว่าก็คือการ คัดเฉพาะหุ้นที่เราสนใจเพียงไม่กี่ตัวที่ทำธุรกิจเหมือนกันมาเทียบกันเลย ซึ่งจะลดความคลาดเคลื่อนได้จากเหตุที่ระบุไปข้างต้น
หรืออีกวิธีที่นิยมกันอย่างแพร่หลายก็คือ การดูพัฒนาการของ ROE ว่าค่านี้ในงบที่ผ่านๆ มาดีขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ เช่นเอาค่าล่าสุดไปเทียบกับงบไตรมาสก่อนหน้า หรือช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ได้ซึ่งหากดีกว่ากันมากๆ ก็เท่ากับน่าสนใจลงทุน
สำหรับหลักทรัพย์จากทั้งตลาด SET และ mai ที่มีค่า อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (% ROE) เปลี่ยนแปลงแบบ QoQ มากที่สุดอิงงบไตรมาส 3/2023 โดยค่าสูงกว่า 100% มีราว 27 อันดับแรกดังนี้
จากข้อมูลตารางนี้ หลายตัวดูดีมากๆ แต่ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าหุ้นเหล่านี้ดีหรือไม่ การลงทุนหุ้นในเชิงพื้นฐานควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย เช่น การเติบโตของรายได้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน แนวโน้มของอุตสาหกรรม และปัจจัยทางเศรษฐกิจ เป็นต้น และที่อยากจะนำเสนอเพิ่มเติมคือคำว่า คำว่า ROA ซึ่งเป็นอีก 1 ศัพท์ที่มักพ่วงมาคู่กันกับ ROE หากค่านี้อยู่ในเกณฑ์ดีย่อมจะเน้นย้ำชี้วัดหุ้นตัวนั้นๆ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยได้โดยในรายละเอียดนั้นติดตามได้ใน Share2Trade.com แห่งนี้