บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า ตามที่ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน)("บริษัทฯ") ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก("คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ" และกรมธนารักษ์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1746/2564 ต่อศาลปกครองกลาง
ต่อมา ศาลปกครองกลางได้เรียกคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีเพิ่มเติม กรณีคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมธนารักษ์ มีคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก("การคัดเลือกเอกชนฯ ครั้งแรก" และออกประกาศพร้อมหนังสือเชิญชวนการคัดเลือกเอกชนฉบับใหม่ เป็นเหตุให้บริษัทฯได้รับความเสียหาย โดยบริษัทฯ ได้แจ้งความคืบหน้าต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 28ธันวาคม 2566 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีกำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่รับทราบคำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 27 มกราคม 2567 นั้น
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจรณาแล้วเห็นว่า คำพิพากษาศาลปกครองกลางเป็นเหตุเป็นผล และเมื่อวิเคราะห์แนวทางอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองตามที่ฝ่ายบริหารและที่ปรึกษากฎหมายนำเสนอแล้ว เห็นว่ามีน้ำหนักที่จะหักล้างคำพิพากษาของศาลปกครองกลางไม่เพียงพอ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีความเสี่ยงที่จะไม่ชนะคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุดประกอบกับการอุทธรณ์จะใช้เวลาและทรัพยากรของบริษัทฯอย่างมาก ในขณะที่บริษัทฯ มีธุรกิจและโครงการในอนาคตซึ่งต้องมีความเกี่ยวข้องและได้รับการอนุญาตหรือความยินยอมจากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทฯ จึงควรรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานรัฐ โดยคำนึงถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ฯ ประกอบการพิจารณาด้วย คณะกรรมการบริษัทฯ จึงเห็นควรไม่ยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป
ต่อมา ศาลปกครองกลางได้เรียกคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีเพิ่มเติม กรณีคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมธนารักษ์ มีคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก("การคัดเลือกเอกชนฯ ครั้งแรก" และออกประกาศพร้อมหนังสือเชิญชวนการคัดเลือกเอกชนฉบับใหม่ เป็นเหตุให้บริษัทฯได้รับความเสียหาย โดยบริษัทฯ ได้แจ้งความคืบหน้าต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 28ธันวาคม 2566 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีกำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่รับทราบคำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 27 มกราคม 2567 นั้น
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจรณาแล้วเห็นว่า คำพิพากษาศาลปกครองกลางเป็นเหตุเป็นผล และเมื่อวิเคราะห์แนวทางอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองตามที่ฝ่ายบริหารและที่ปรึกษากฎหมายนำเสนอแล้ว เห็นว่ามีน้ำหนักที่จะหักล้างคำพิพากษาของศาลปกครองกลางไม่เพียงพอ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีความเสี่ยงที่จะไม่ชนะคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุดประกอบกับการอุทธรณ์จะใช้เวลาและทรัพยากรของบริษัทฯอย่างมาก ในขณะที่บริษัทฯ มีธุรกิจและโครงการในอนาคตซึ่งต้องมีความเกี่ยวข้องและได้รับการอนุญาตหรือความยินยอมจากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทฯ จึงควรรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานรัฐ โดยคำนึงถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ฯ ประกอบการพิจารณาด้วย คณะกรรมการบริษัทฯ จึงเห็นควรไม่ยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป