"เจ.พี.มอร์แกน" กลุ่มธุรกิจการเงินระดับโลก ได้เผยมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นการ “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” (Overweight) จากแนวโน้มมาตรการผ่อนคลายทางการคลัง การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมไปถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลของภาครัฐ โดยได้เปิดเผยข้อมูลระหว่างการประชุม J.P. Morgan Thailand Conference ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ
การประชุมนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และนายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ นโยบายด้านพลังงานและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ การผลิตรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า
จากข้อมูลของธนาคาร แนวโน้มหลังการเลือกตั้งอาจทำให้ GDP ของประเทศไทยเติบโตถึง 3.7% ในปี 2567 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ประเทศไทยมีการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตทั่วโลก บวกกับแนวโน้มมาตรการผ่อนคลายทางการคลังที่ชัดเจนของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (U.S. Federal Open Market Committee: FOMC) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เจ. พี. มอร์แกน ได้ตั้งเป้าหมายพื้นฐานที่ 550 สำหรับดัชนี MSCI Thailand ซึ่งในอดีตให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ถึง 11% ในช่วงหนึ่งถึงสามเดือนหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก
นอกจากนี้ ธนาคารเจ. พี. มอร์แกนได้คาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะขึ้นแตะระดับ 1,700 ภายในสิ้นปี จากระดับปัจจุบันที่ 1,418
นายมาร์โค สุจริตกุล เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทยของเจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า “เรามีความมั่นใจในตลาดไทยแม้ว่าสภาวะการเงินโลกจะยังค่อนข้างตึงตัว เราคาดว่าตลาดไทยจะมีความพร้อมจากหลายปัจจัย เช่น การเติบโตของ GDP ที่เข้มแข็ง และการมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถต้านแรงจากทิศทางตลาดโลกได้”
บัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการค้าที่ดีขึ้น ราคาน้ำมันและค่าขนส่งที่ลดลง ความสมดุลของสินค้าหลักที่มั่นคง บวกกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธนาคารเจ. พี. มอร์แกนคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเพิ่มขึ้น จาก 0.8% ของ GDP ในปี 2566 เป็น 4.1% ของ GDP ในปี 2567
นายมาร์โค กล่าวเสริมว่า “การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะช่วยปรับปรุงการจ้างงานของภาคบริการต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ในระดับปานกลาง โดยโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลมูลค่า 5 แสนล้านบาท รวมไปถึงนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายอื่น ๆ ของภาครัฐ หากประสบความสำเร็จ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีกในประเทศไทยอย่างครอบคลุม”
ในปีที่ผ่านมา ได้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจะถึงจุดต่ำสุดในปี 2567 เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบายการคลัง
นายราจีฟ ภัทร นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นในเอเชียและหัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นอาเซียนของเจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถหลีกหนีจากภาวะถดถอยในปีนี้ได้ แต่ความเสี่ยงของการชะลอตัวในปี 2567 ยังคงเพิ่มสูงขึ้น”
นายราจีฟ กล่าวเสริมว่า “ในมุมมองของเรา ตลาดหุ้นอาเซียนอาจมีการปรับตัวลดลง ในขณะที่การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศยังคงมีความเป็นไปได้อย่างสูง อย่างไรก็ตามจุดยืนของนักลงทุนต่างชาติไม่น่าส่งผลกระทบหนักถึงขั้นเงินทุนไหลออกนอกประเทศในระดับสูง นักลงทุนควรมุ่งเน้นไปที่หุ้นและอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่จะสามารถช่วยชดเชยแรงต้านจากภาวะเศรษฐกิจโลกได้”
นายจักรพันธ์ (เข้) พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ของเจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า “ในส่วนของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ธนาคารเจ. พี. มอร์แกน มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดสินค้าฟุ่มเฟือย และหมวดสาธารณูปโภค”
นายจักรพันธ์ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวไปอีกขั้นในการดึงดูดกระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะคิดเป็นประมาณ 16% ของการผลิตยานยนต์ต่อปีทั้งหมดในประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
การประชุมนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และนายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ นโยบายด้านพลังงานและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ การผลิตรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า
จากข้อมูลของธนาคาร แนวโน้มหลังการเลือกตั้งอาจทำให้ GDP ของประเทศไทยเติบโตถึง 3.7% ในปี 2567 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ประเทศไทยมีการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตทั่วโลก บวกกับแนวโน้มมาตรการผ่อนคลายทางการคลังที่ชัดเจนของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (U.S. Federal Open Market Committee: FOMC) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เจ. พี. มอร์แกน ได้ตั้งเป้าหมายพื้นฐานที่ 550 สำหรับดัชนี MSCI Thailand ซึ่งในอดีตให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ถึง 11% ในช่วงหนึ่งถึงสามเดือนหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก
นอกจากนี้ ธนาคารเจ. พี. มอร์แกนได้คาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะขึ้นแตะระดับ 1,700 ภายในสิ้นปี จากระดับปัจจุบันที่ 1,418
นายมาร์โค สุจริตกุล เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทยของเจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า “เรามีความมั่นใจในตลาดไทยแม้ว่าสภาวะการเงินโลกจะยังค่อนข้างตึงตัว เราคาดว่าตลาดไทยจะมีความพร้อมจากหลายปัจจัย เช่น การเติบโตของ GDP ที่เข้มแข็ง และการมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถต้านแรงจากทิศทางตลาดโลกได้”
บัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการค้าที่ดีขึ้น ราคาน้ำมันและค่าขนส่งที่ลดลง ความสมดุลของสินค้าหลักที่มั่นคง บวกกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธนาคารเจ. พี. มอร์แกนคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเพิ่มขึ้น จาก 0.8% ของ GDP ในปี 2566 เป็น 4.1% ของ GDP ในปี 2567
นายมาร์โค กล่าวเสริมว่า “การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะช่วยปรับปรุงการจ้างงานของภาคบริการต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ในระดับปานกลาง โดยโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลมูลค่า 5 แสนล้านบาท รวมไปถึงนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายอื่น ๆ ของภาครัฐ หากประสบความสำเร็จ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีกในประเทศไทยอย่างครอบคลุม”
ในปีที่ผ่านมา ได้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจะถึงจุดต่ำสุดในปี 2567 เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบายการคลัง
นายราจีฟ ภัทร นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นในเอเชียและหัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นอาเซียนของเจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถหลีกหนีจากภาวะถดถอยในปีนี้ได้ แต่ความเสี่ยงของการชะลอตัวในปี 2567 ยังคงเพิ่มสูงขึ้น”
นายราจีฟ กล่าวเสริมว่า “ในมุมมองของเรา ตลาดหุ้นอาเซียนอาจมีการปรับตัวลดลง ในขณะที่การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศยังคงมีความเป็นไปได้อย่างสูง อย่างไรก็ตามจุดยืนของนักลงทุนต่างชาติไม่น่าส่งผลกระทบหนักถึงขั้นเงินทุนไหลออกนอกประเทศในระดับสูง นักลงทุนควรมุ่งเน้นไปที่หุ้นและอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่จะสามารถช่วยชดเชยแรงต้านจากภาวะเศรษฐกิจโลกได้”
นายจักรพันธ์ (เข้) พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ของเจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า “ในส่วนของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ธนาคารเจ. พี. มอร์แกน มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดสินค้าฟุ่มเฟือย และหมวดสาธารณูปโภค”
นายจักรพันธ์ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวไปอีกขั้นในการดึงดูดกระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะคิดเป็นประมาณ 16% ของการผลิตยานยนต์ต่อปีทั้งหมดในประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”