Talk of The Town
EP ออกหุ้นกู้ 1,150 ลบ. ดอกเบี้ย 5.65 – 5.75 % จ่ายทุก3เดือน เปิดจอง 27-29 มี.ค.นี้
21 กุมภาพันธ์ 2566
บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) ยื่นแบบ Filing ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทครั้งที่ 1/2566 มูลค่าไม่เกิน 1,150 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน ชูผลตอบแทน 5.65 – 5.75 % ต่อปี จ่ายทุก 3 เดือน คาดจะเปิดจองระหว่างวันที่ 27-29 มี.ค.นี้ ระดมทุนรองรับแผนขยายธุรกิจและชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนด ฟากบิ๊กบอส "ยุทธ ชินสุภัคกุล" ระบุ หุ้นกู้ทุกรุ่นของบริษัทฯ สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ตรงตามกำหนดเวลาทุกครั้ง และได้ใช้เงินที่ได้มาตรงตามวัตถุประสงค์ สะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้ารุกขยายลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศ และในกลุ่มประเทศ CLMV
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 1,150 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราผลตอบแทน 5.65 – 5.75 % ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยคาดว่าจะเปิดจองได้ระหว่างวันที่ 27-29 มี.ค.นี้
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯเตรียมนำเงินไปใช้สำหรับ ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอายุในวันที่ 1 เมษายน 2566 มูลค่า 730 ล้านบาท และเพื่อใช้เป็นเงินทุนแรกเริ่มสำหรับการเตรียมโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตามโครงการจัดหาพลังงานหมูนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 ที่ออกโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ที่จะมีการประกาศรายชื่อผู้ยื่นที่ได้รับการคัดเลือกภายในวันที่ 22 มี.ค.นี้ รวมถึงรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งในประเทศและในกลุ่ม CLMV พร้อมกันนี้เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ EP สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ผู้จัดจำหน่าย 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) , บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
"หุ้นกู้ทุกรุ่นที่ออกโดย EP ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถจ่ายอัตราดอกเบี้ยได้ครบถ้วน และตรงตามกำหนดทุกรุ่น ขณะเดียวกันเงินที่ได้รับจากการระดมทุนทุกครั้ง บริษัทฯก็นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ จึงสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมและมีศักยภาพในการรุกขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว" นายยุทธกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ นอกจากนี้ ตามระเบียบว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 หรือไฟฟ้าพลังงานสะอาด ของทางกกพ.นั้น ล่าสุดบริษัทฯได้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกคุณสมบัติความพร้อมด้านเทคนิคขั้นต่ำไปเรียบร้อย จำนวน 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวมประมาณ 40 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด
ส่วนโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนามจำนวน 160 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียม COD กับทางการเวียดนามคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯได้มีการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ในกลุ่มธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ในปีนี้
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกหุ้นกู้ วงเงินไม่เกิน 1,150 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราผลตอบแทน 5.65 – 5.75 % ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยคาดว่าจะเปิดจองได้ระหว่างวันที่ 27-29 มี.ค.นี้
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯเตรียมนำเงินไปใช้สำหรับ ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอายุในวันที่ 1 เมษายน 2566 มูลค่า 730 ล้านบาท และเพื่อใช้เป็นเงินทุนแรกเริ่มสำหรับการเตรียมโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตามโครงการจัดหาพลังงานหมูนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 ที่ออกโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ที่จะมีการประกาศรายชื่อผู้ยื่นที่ได้รับการคัดเลือกภายในวันที่ 22 มี.ค.นี้ รวมถึงรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งในประเทศและในกลุ่ม CLMV พร้อมกันนี้เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ EP สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ผู้จัดจำหน่าย 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) , บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
"หุ้นกู้ทุกรุ่นที่ออกโดย EP ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถจ่ายอัตราดอกเบี้ยได้ครบถ้วน และตรงตามกำหนดทุกรุ่น ขณะเดียวกันเงินที่ได้รับจากการระดมทุนทุกครั้ง บริษัทฯก็นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ จึงสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมและมีศักยภาพในการรุกขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว" นายยุทธกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ นอกจากนี้ ตามระเบียบว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 หรือไฟฟ้าพลังงานสะอาด ของทางกกพ.นั้น ล่าสุดบริษัทฯได้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกคุณสมบัติความพร้อมด้านเทคนิคขั้นต่ำไปเรียบร้อย จำนวน 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวมประมาณ 40 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด
ส่วนโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนามจำนวน 160 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียม COD กับทางการเวียดนามคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯได้มีการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ในกลุ่มธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ในปีนี้