Smart Investment

"พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี" ขึ้นแท่นหุ้นใหญ่ท็อปทรี PLANB


07 กุมภาพันธ์ 2567
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเริ่มกระเตื้องขึ้นมาได้บ้างและมีสัญญาณที่ดีเมื่อนักลงทุนต่างชาติได้มีการซื้อหุ้นเข้ามา ซึ่งหากยังมีแรงซื้อต่อเนื่องก็น่าจะทำให้ดัชนีฟื้นตัวได้อีกครั้ง ขณะที่บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงทุกช่วงอายุ โดย มีรายละเอียด ดังนี้

พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ตุนหุ้น PLANB เพิ่ม copy.jpg

ตราสารหนี้อายุ 1 ปี ปรับตัวลง 6 Bps. ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.32%

ตราสารหนี้อายุ 2 ปี ปรับตัวลง 9 Bps. ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.26%

ตราสารหนี้อายุ 5 ปี ปรับตัวลง 12 Bps. ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.37%

ตราสารหนี้อายุ 10 ปี ปรับตัวลง 15 Bps. ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.64%

ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณชี้นำให้ กนง.เริ่มใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเร็วขึ้น แม้กนง.จะให้ความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ 2.50% อยู่ในระดับที่ เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ดังนั้น หาก กนง.หนุนการลดดอกเบี้ยให้เกิดเร็วขึ้นกว่าที่คาด ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าจะ มีข้อดีต่อ SET Index ดังนี้

ตามกลไกดอกเบี้ยที่ลดลง 25 bps. (จาก 2.50% เป็น 2.25%) มีโอกาสที่จะเป็นแรงผลักให้target SET Index ปรับตัวสูงขึ้นอีก 71-72 จุด จากเดิมที่ ตั้งเป้าหมายไว้ 1650-1670 จุด (EPS 96-97 บาท/หุ้น)
ตามสถิติย้อนหลัง 10 ปี ทุกๆดอกเบี้ยที่ลดลง 25 bps. จะช่วยเพิ่มมูลค่าซื้อ ขายของ SETindex ราว 4-5 พันล้านบาท/วัน
ตามกลไก ทุกๆ การลดดอกเบี้ย 25 bps. จากมูลค่าหนี้คงค้างทั้งระบบ 4.25 ล้านล้านบาท สามารถช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายได้ราว 1 หมื่นล้านบาท หนุน EPS ตลาดระยะยาวเพิ่ม 1 บาท/หุ้น
โดยการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง.ในอนาคต จะมีผลต่อกลุ่มธนาคาร และ Non – Bank โดยกรณีที่มีการลดดอกเบี้ยลบ ต่อ 6 ธ.พ. ใหญ่ (BAY, BBL, KBANK, KTB,SCB และ TTB) ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยส่วนของ Interbank ที่ปรับตามอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายทันที และเงินให้สินเชื่อที่จะมีการปรับลดลงในช่วงถัดไป ทั้งนี้ สมมติฐานปัจจุบันของฝ่ายวิจัยอยู่บนอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลง 1 ครั้ง 0.25% ช่วง 2H67 และรับรู้เต็มปีในปี 2568 ในทางตรงข้าม KKP, TISCO และกลุ่ม Non – bank ที่โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อมีสัดส่วนอัตราดอกเบี้ย Fixed rate มากกว่า Floating rate แต่ต้นทุนทางการเงินทยอยปรับลดตามอัตราดอกเบี้ย จะได้ประโยชน์ กรณีวัฎจักรดอกเบี้ยกลับทิศ
จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนของการลงทุนของ"พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี" หรือหมอพงศ์ศักดิ์ นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งมีพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยถือหุ้นจำนวน 15 บริษัท ประกอบด้วย

หุ้น จำนวน (หุ้น) %การถือหุ้น
CHAYO 20,247,858 1.78
COM7 539,516,200 22.48
ETL 5,000,000 0.81
HL 4,009,400 1.47
III 36,900,000 4.57
MASTER 12,498,700 5.21
MILL 94,930,000 1.71
NTSC 7,548,200 7.55
PLANB 212,816,700 4.96
PRI 15,936,600 4.98
PRTR 18,293,100 3.05
SISB 15,647,300 1.66
SKY 40,546,000 6.49
TPL 10,000,000 1.91
WARRIX 6,906,700 1.15

จากข้อมูลดังกล่าวเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการถือครองหุ้นในครั้งก่อน พบว่า "หมอพงศ์ศักดิ์" ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น PLANB บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ล่าสุดถือหุ้นจำนวน 212,816,700 หุ้นคิดเป็น 4.96% จากเดิมที่เคยถือครองหุ้น 178,270,200 หุ้น คิดเป็น 4.17%
การเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ ส่งผลให้ "หมอพงศ์ศักดิ์" ได้ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ในทันทีจากเดิมที่เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 6 รวมทั้งยังพบว่าบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ได้เข้ามาถือหุ้น จำนวน 84,000,000 หุ้น คิดเป็น1.96% จากเดิมไม่ปรากฎรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ PLANB
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น PLANB ณ 28 ธันวาคม 2566 ดังนี้


ผู้ถือหุ้น จำนวน (หุ้น) %การถือครอง
นาย ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ 942,611,347 21.97
บริษัท วี จี ไอ จำกัด (มหาชน) 726,117,400 16.93
นาย พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี 212,816,700 4.96
นาย สุชาติ ลือชัยขจรพันธ์ 201,417,408 4.7
กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 25 94,590,500 2.21
กองทุนเปิด บัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ 84,888,300 1.98

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น PLANB ในเดือนมกราคม 2567 ราคาหุ้นทรงตัว จากราคา 9 บาท มาอยู่ที่ 8.80 บาทลดลง 0.56% และเคยปรับตัวสูงสุดที่ 9.05 บาท 
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยแนะนำซื้อ PLANB มูลค่าพื้นฐานที่ 11.20 บาท เราคาดผลประกอบการ4Q66 ยังเติบโตต่อเนื่อง Qo๐,YoY นอกจากเข้า High season ยังเติบโตตามธุรกิจ OOH และการฟื้นตัวของธุรกิจ Engagement อีเว้นท์ และคอนเสิร์ต ซึ่งได้ปรับเพิ่มกำไรปี 2566-2567 เพิ่มเฉลี่ย 5% สะท้อนกำไรที่เติบโตดีกว่าคาด

ในปี 2567 คาดกำไรปกติเติบโตต่อเนื่อง 17%YoY เป็น 1,079 ล้านบาท คาดสื่อ OOHยังเติบโต Outperform สื่ออื่น ประสิทธิภาพดีขึ้นจากการปรับขึ้นราคา และนโยบายควบคุมต้นทุนและยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรใน 4Q66 -2567 ที่คาดเติบโตดีต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสวนทางผลประกอบการที่เติบโตดี จึงเป็นจังหวะในการกลับเข้าลงทุน เรามีการปรับมูลค่าพื้นฐานปี 2567 จากเดิมที่ 10.60 บาท เป็น 11.20 บาท สะท้อนการปรับประมาณการ อิงวิธี DCF อิงสมมติฐาน WACC 8.2%