ภูมิใจเสนอเนื้อหาสาระจาก SPACEBAR MONEY FORUM 2024 ในหัวข้อ ‘The Winner Asset 2024 : ชัยชนะนักลงทุน’ ที่จัดขึ้นโดย SPACEBAR Money ได้เชิญเหล่านักวิเคราะห์ 8 กูรู ผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำวอดอยู่ในวงการทองคำ – บิตคอยน์ - หุ้นโลก และหุ้นไทย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับช่องทาง โอกาสของการลงทุน และสินทรัพย์แบบไหนที่น่าลงทุน ทําให้ผู้ที่อยากลงทุนอยู่รอดปลอดภัย ในปี 2567 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งภาวะสงคราม เงินเฟ้อพุ่ง ดอกเบี้ยสูง วิกฤตซ้อนวิกฤต เศรษฐกิจตกต่ำซึมลึก
Session 1 เริ่มด้วยการพูดคุยการลงทุนในส่วนของทองคำและสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง คริปโทเคอร์เรนซี โดยพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวถึง 3 ข้อดีในการลงทุนในทองคำ คือ
1. ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยง (Safe Haven) และสามารถทำกำไรได้ ไม่ว่าจะเกิดสงคราม ภาวะเศรษฐกิจ โดยจากสถิติในอดีตพบเมื่อมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์พบว่า 8 ใน 10 ครั้ง ราทองคำปรับตัวขึ้น มีการทำนิวไฮตลอด หลายปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 9-10 % ต่อปี
2. ทองคำ สามารถนำมาใช้ในการถัวเฉลี่ยกับทรัพย์สินอื่นได้
3. ความยืดหยุ่นการถือครอง และเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที มีความคล่องตัวสูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำในปี 2567 ต้องประเมินหลังพฤษภาคม 2567 จากปัจจัยธนาคารกลางสหรัฐ เพราะฉะนั้น ต้องดูว่าความ Aggressive ในการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ประกอบกับกับภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ หรือ สงครามมากระทบ ถือว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ราคายังอยู่ในช่วงนิ่ง ๆ สามารถย่อทยอยสะสมได้ แต่คาดว่าราคาจะกลับมาโดดเด่นในช่วงไตรมาส 3 หรือ ไตรมาส 4
หากประเมินระยะสั้น-กลาง ทองคำจะเข้าช่วง Sideways Down แนวรับที่ 1,977-1,990 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ส่วนแนวรับถัดไป 1,933 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ส่วนแนวรับถัดไป 1,850 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ และ แนวรับสุดท้าย 1,810 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์
สอดคล้องกับ นพ. กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุก ระบุว่า ปีที่ผ่านมาราคาทองคำถือว่าอยู่ในระดับที่แย่ที่สุด เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 5% ต่อปี แต่กลับมีปัจจัยเรื่องของสถานการณ์ธนาคาร SVB ล้มในสหรัฐฯ รวมถึงสงครามในอิสราเอล ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ขึ้น 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ แตะ 2,009 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ภายในระยะเวลา 7 วัน แต่หลังจากนั้นเสร็จขึ้นดอกเบี้ยต่อ ทำให้ราคาทองปรับตัวลงมา
ล่าสุดในช่วง ม.ค. - ก.พ. 67 กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำรวม 40 ตัน ทำให้เป็นการถือครองทองคำต่ำสุดในรอบ 10 ปี หันไปลงทุนใน Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลตามดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ประเมินว่าราคาทองคำน่าจะเริ่มปรับตัวขึ้นหลังไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ โดยคาดว่าปี 2567 น่าจะจบราคาที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์
“ปีที่แล้ว (2566) ราคาทองคำโลกให้ผลตอบแทน 14% ทองคำไทยให้ผลตอบแทน 11% ผมมองว่าตอนนี้เป็นโอกาสของทุกคนที่จะเข้าไปลงทุนทองคำในช่วงนี้ ฉะนั้น อย่างแย่ที่สุดปี 2567 คาดว่าจะได้ผลตอบแทน 10 % ปีนี้ราคาทองคำน่าจะจบที่ประมาณ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์” นพ. กฤชรัตน์ กล่าว
ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง คริปโทเคอร์เรนซี เช่น สกุลเงินบิทคอยน์ นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ Founder Thai Bitcast & Bispace กล่าวถึง 3 ข้อดีสำหรับบิทคอยน์ ว่า
1. Digital Gold หมายถึง บิทคอยน์เปรียบเสมือนทองคำในโลกดิจิทัล มีคุณสมบัติ Peer to peer สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้อื่นได้โดยตรง และสามารถซื้อหน่วยย่อยได้
2. Open System หมายถึง ระบบ Blockchain ที่ใช้ในการซื้อขายบิทคอยน์เป็นระบบเปิด ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลผ่านโหนด (Node) ในระบบ โดย Stakeholder สามารถตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส เนื่องจากทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ
3. Generation Shifted หมายถึง การเปลี่ยนผ่านทรัพย์สินจากรุ่นเก่าไปยังรุ่นใหม่ คริปโท จะกลายมาเป็นทรัพย์สินทางเลือกที่คนรุ่นใหม่เชื่อถือมากยิ่งขึ้น แม้ปัจจุบันการเทรดคริปโทจะมีเพียง 3% ของปริมาณการเทรดทองคำ แต่ในคาดว่าคริปโทฯ จะมีสัดส่วนในการสะสมความมั่งคั่งของคนรุ่นใหม่มากขึ้น
ด้านนายสัญชัย ปอปลี ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันราคาบิทคอยน์ 1 เหรียญ อยู่ที่ราว 51,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2567 ประเมินว่าจากปัจจัยบวกของกองทุน ETF Bitcoin ทำให้มีวอลลุ่มการซื้อจากนักลงทุน และปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ซึ่งจะเกิดทุก ๆ 4 ปี ทำให้คาดว่าปี 2567 ราคาบิทคอยน์จะแตะ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรืออาจะพุ่งสูงถึง 120,000-150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปี 2567 แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็จะต้องติดตามปัจจัยอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย
ขณะที่ Session 2 มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องของการเฟ้นหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี ระหว่าง ‘หุ้นไทย-หุ้นโลก’ จับสัญญาณอะไร ในท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจปัจจุบัน
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนเพื่อให้มีชัยชนะ นักลงทุนควรดูผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก หรือหุ้นไทย โดยประเทศไทยปัจจัยการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาวเติบโตไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แนวโน้มไม่หวือหวาเหมือนในต่างประเทศ และการส่งออก ที่ยังไม่ค่อยสู้ดี ไทยกำลังสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน หุ้นต่างประเทศจึงน่าสนใจ
“คนแก่ครองเมือง เศรษฐกิจจะไม่โตมาก โตเพียงแค่ 2-3% ไตรมาส 3 และ 4 ที่ผ่านมาโตแค่ 1% แต่ไทยก็ยังมีข้อดี โดยเฉพาะเป็นประเทศท่องเที่ยว การลงทุน ในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ย่อมให้ผลตอบแทนสูง เช่น ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กลุ่มโรงพยาบาล หรือ การบิน หรือแม้แต่ ค้าปลีก และรวมถึงเทคโนโลยี เป็นต้น” วทัญ กล่าว
ด้านกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. กรุงศรีพัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองว่า หากจะเฟ้นหาตลาดน่าลงทุน แน่นอน ‘ต่างประเทศ’ แต่หุ้นไทยก็ยังมีโอกาส โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ในปี 2024 มีแรงส่งจากการใช้งบประมาณภาครัฐ ที่จะเร่งขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เช่นเดียวกับการส่งออก ปี 2024 ภาวะการหดตัวของเศรษฐกิจโลกจะพ้นจุดเลวร้าย และไทยก็เริ่มถึงจุดฟื้นตัว ทั้งนี้ ยังมองอีกว่า แม้ช่วงต้นปีหุ้นได้จะขึ้นได้ช้า แต่จะมีความแข็งแรงเชิงโครงสร้างมากขึ้น อีกทั้งวงจรดอกเบี้ย น่าจะอยู่ในขาลงช่วงไตรมาส 2 ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งเศรษฐกิจโตขึ้น มองความน่าสนใจการลงทุน หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ เช่น AOT, MINT, CPALL, TUF, GPSC และ BLUEBIK เป็นต้น
“ภาพรวมหุ้นไทย จะมีเสน่ห์มากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าอย่าง จีน ญี่ปุ่น หันมาลงทุนมากขึ้น คู่ค้าหลักของไทยยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ปีนี้หุ้นไทยอยู่ในช่วงที่กำลังปรับแก้ พอคาดหวังในการลงทุนได้” กรภัทร กล่าว
ในส่วนของมุมมอง ‘หุ้นโลก’ ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า เม็ดเงินใหญ่จากทั่วโลกโถมเข้าไปลงทุนในตลาดใหญ่ เช่น ตลาดหุ้นอเมริกา เพื่อสร้างโอกาสเติบโตสูง และสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า หากถามตลาดหุ้นไทย และหุ้นโลก ตลาดไหนคือคำตอบ ย่อมต้องเป็นหุ้นโลกแน่นอน เพราะขณะนี้ไทยกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า และโตต่ำ ภาพการลงทุนเห็นได้ชัดว่า ถ้าหุ้นโลกดี ไทยแลนด์ก็พร้อมดีตาม แต่จะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหุ้นโลกไม่ดี ไทยก็พร้อมจะลงหนักเช่นกัน
“ตลาดหุ้นไทย ก็ไม่ถึงขนาดไม่น่าลงทุน เพราะก็มีโอกาสเซอร์ไพรซ์ที่จะเอาท์เพอร์ฟอร์มได้ เพราะกำลังมีจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกำลังมีการใช้งบประมาณรัฐ ในช่วงไตรมาส 2 เรื่องดอกเบี้ยนโยบาย และแอคชันตลาดหลักทรัพย์ ที่ออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ” ประกิต กล่าว
ด้านเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA เปิดเผยสูตรไม่ลับในการจัดพอร์ตลงทุน ว่า นักลงทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนตามเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกได้ ให้ตัวเลขตลาดหุ้นทั้งโลก มีขนาดการลงทุนประมาณกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 50% แบ่งเป็นอยู่ที่อเมริกากับแคนนาดา 15% อยู่ในยุโรป อีก 15% อยู่ในจีน ญี่ปุ่น ประมาณ 5% ส่วนที่เหลือ ยังกระจายในหลายประเทศ ทั้งออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย 15% ต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นตัวอย่างให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตตามนี้ได้ ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแต่เพียงอย่างเดียว
“ผมว่า ปีมังกรมันเป็นปีแห่งการตื่นรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศ เพราะว่าผู้นำทางความคิดด้านการลงทุนหลายคนลุกขึ้นมา นักลงทุนไทยก็เช่นกัน ไม่ได้พยายามบอกว่า ให้ทิ้งประเทศไทย แต่ก็อย่าไปหลงรักตลาดหุ้นบ้านเรามากจนเกินไป เพราะว่าจากที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมากว่า 20 ปี ตลาดหุ้นไม่เคยรักเราตอบเลย” เจษฎา กล่าว
Session 1 เริ่มด้วยการพูดคุยการลงทุนในส่วนของทองคำและสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง คริปโทเคอร์เรนซี โดยพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวถึง 3 ข้อดีในการลงทุนในทองคำ คือ
1. ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยง (Safe Haven) และสามารถทำกำไรได้ ไม่ว่าจะเกิดสงคราม ภาวะเศรษฐกิจ โดยจากสถิติในอดีตพบเมื่อมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์พบว่า 8 ใน 10 ครั้ง ราทองคำปรับตัวขึ้น มีการทำนิวไฮตลอด หลายปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 9-10 % ต่อปี
2. ทองคำ สามารถนำมาใช้ในการถัวเฉลี่ยกับทรัพย์สินอื่นได้
3. ความยืดหยุ่นการถือครอง และเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที มีความคล่องตัวสูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำในปี 2567 ต้องประเมินหลังพฤษภาคม 2567 จากปัจจัยธนาคารกลางสหรัฐ เพราะฉะนั้น ต้องดูว่าความ Aggressive ในการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ว่าจะมีทิศทางอย่างไร ประกอบกับกับภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ หรือ สงครามมากระทบ ถือว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ราคายังอยู่ในช่วงนิ่ง ๆ สามารถย่อทยอยสะสมได้ แต่คาดว่าราคาจะกลับมาโดดเด่นในช่วงไตรมาส 3 หรือ ไตรมาส 4
หากประเมินระยะสั้น-กลาง ทองคำจะเข้าช่วง Sideways Down แนวรับที่ 1,977-1,990 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ส่วนแนวรับถัดไป 1,933 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ส่วนแนวรับถัดไป 1,850 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ และ แนวรับสุดท้าย 1,810 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์
สอดคล้องกับ นพ. กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุก ระบุว่า ปีที่ผ่านมาราคาทองคำถือว่าอยู่ในระดับที่แย่ที่สุด เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 5% ต่อปี แต่กลับมีปัจจัยเรื่องของสถานการณ์ธนาคาร SVB ล้มในสหรัฐฯ รวมถึงสงครามในอิสราเอล ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ขึ้น 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ แตะ 2,009 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ภายในระยะเวลา 7 วัน แต่หลังจากนั้นเสร็จขึ้นดอกเบี้ยต่อ ทำให้ราคาทองปรับตัวลงมา
ล่าสุดในช่วง ม.ค. - ก.พ. 67 กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำรวม 40 ตัน ทำให้เป็นการถือครองทองคำต่ำสุดในรอบ 10 ปี หันไปลงทุนใน Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลตามดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ประเมินว่าราคาทองคำน่าจะเริ่มปรับตัวขึ้นหลังไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ โดยคาดว่าปี 2567 น่าจะจบราคาที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์
“ปีที่แล้ว (2566) ราคาทองคำโลกให้ผลตอบแทน 14% ทองคำไทยให้ผลตอบแทน 11% ผมมองว่าตอนนี้เป็นโอกาสของทุกคนที่จะเข้าไปลงทุนทองคำในช่วงนี้ ฉะนั้น อย่างแย่ที่สุดปี 2567 คาดว่าจะได้ผลตอบแทน 10 % ปีนี้ราคาทองคำน่าจะจบที่ประมาณ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์” นพ. กฤชรัตน์ กล่าว
ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง คริปโทเคอร์เรนซี เช่น สกุลเงินบิทคอยน์ นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ Founder Thai Bitcast & Bispace กล่าวถึง 3 ข้อดีสำหรับบิทคอยน์ ว่า
1. Digital Gold หมายถึง บิทคอยน์เปรียบเสมือนทองคำในโลกดิจิทัล มีคุณสมบัติ Peer to peer สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้อื่นได้โดยตรง และสามารถซื้อหน่วยย่อยได้
2. Open System หมายถึง ระบบ Blockchain ที่ใช้ในการซื้อขายบิทคอยน์เป็นระบบเปิด ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลผ่านโหนด (Node) ในระบบ โดย Stakeholder สามารถตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส เนื่องจากทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ
3. Generation Shifted หมายถึง การเปลี่ยนผ่านทรัพย์สินจากรุ่นเก่าไปยังรุ่นใหม่ คริปโท จะกลายมาเป็นทรัพย์สินทางเลือกที่คนรุ่นใหม่เชื่อถือมากยิ่งขึ้น แม้ปัจจุบันการเทรดคริปโทจะมีเพียง 3% ของปริมาณการเทรดทองคำ แต่ในคาดว่าคริปโทฯ จะมีสัดส่วนในการสะสมความมั่งคั่งของคนรุ่นใหม่มากขึ้น
ด้านนายสัญชัย ปอปลี ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันราคาบิทคอยน์ 1 เหรียญ อยู่ที่ราว 51,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2567 ประเมินว่าจากปัจจัยบวกของกองทุน ETF Bitcoin ทำให้มีวอลลุ่มการซื้อจากนักลงทุน และปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ซึ่งจะเกิดทุก ๆ 4 ปี ทำให้คาดว่าปี 2567 ราคาบิทคอยน์จะแตะ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรืออาจะพุ่งสูงถึง 120,000-150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปี 2567 แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็จะต้องติดตามปัจจัยอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย
ขณะที่ Session 2 มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องของการเฟ้นหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี ระหว่าง ‘หุ้นไทย-หุ้นโลก’ จับสัญญาณอะไร ในท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจปัจจุบัน
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนเพื่อให้มีชัยชนะ นักลงทุนควรดูผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก หรือหุ้นไทย โดยประเทศไทยปัจจัยการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาวเติบโตไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แนวโน้มไม่หวือหวาเหมือนในต่างประเทศ และการส่งออก ที่ยังไม่ค่อยสู้ดี ไทยกำลังสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน หุ้นต่างประเทศจึงน่าสนใจ
“คนแก่ครองเมือง เศรษฐกิจจะไม่โตมาก โตเพียงแค่ 2-3% ไตรมาส 3 และ 4 ที่ผ่านมาโตแค่ 1% แต่ไทยก็ยังมีข้อดี โดยเฉพาะเป็นประเทศท่องเที่ยว การลงทุน ในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ย่อมให้ผลตอบแทนสูง เช่น ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กลุ่มโรงพยาบาล หรือ การบิน หรือแม้แต่ ค้าปลีก และรวมถึงเทคโนโลยี เป็นต้น” วทัญ กล่าว
ด้านกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล. กรุงศรีพัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองว่า หากจะเฟ้นหาตลาดน่าลงทุน แน่นอน ‘ต่างประเทศ’ แต่หุ้นไทยก็ยังมีโอกาส โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ในปี 2024 มีแรงส่งจากการใช้งบประมาณภาครัฐ ที่จะเร่งขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เช่นเดียวกับการส่งออก ปี 2024 ภาวะการหดตัวของเศรษฐกิจโลกจะพ้นจุดเลวร้าย และไทยก็เริ่มถึงจุดฟื้นตัว ทั้งนี้ ยังมองอีกว่า แม้ช่วงต้นปีหุ้นได้จะขึ้นได้ช้า แต่จะมีความแข็งแรงเชิงโครงสร้างมากขึ้น อีกทั้งวงจรดอกเบี้ย น่าจะอยู่ในขาลงช่วงไตรมาส 2 ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งเศรษฐกิจโตขึ้น มองความน่าสนใจการลงทุน หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ เช่น AOT, MINT, CPALL, TUF, GPSC และ BLUEBIK เป็นต้น
“ภาพรวมหุ้นไทย จะมีเสน่ห์มากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าอย่าง จีน ญี่ปุ่น หันมาลงทุนมากขึ้น คู่ค้าหลักของไทยยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ปีนี้หุ้นไทยอยู่ในช่วงที่กำลังปรับแก้ พอคาดหวังในการลงทุนได้” กรภัทร กล่าว
ในส่วนของมุมมอง ‘หุ้นโลก’ ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า เม็ดเงินใหญ่จากทั่วโลกโถมเข้าไปลงทุนในตลาดใหญ่ เช่น ตลาดหุ้นอเมริกา เพื่อสร้างโอกาสเติบโตสูง และสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า หากถามตลาดหุ้นไทย และหุ้นโลก ตลาดไหนคือคำตอบ ย่อมต้องเป็นหุ้นโลกแน่นอน เพราะขณะนี้ไทยกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า และโตต่ำ ภาพการลงทุนเห็นได้ชัดว่า ถ้าหุ้นโลกดี ไทยแลนด์ก็พร้อมดีตาม แต่จะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหุ้นโลกไม่ดี ไทยก็พร้อมจะลงหนักเช่นกัน
“ตลาดหุ้นไทย ก็ไม่ถึงขนาดไม่น่าลงทุน เพราะก็มีโอกาสเซอร์ไพรซ์ที่จะเอาท์เพอร์ฟอร์มได้ เพราะกำลังมีจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกำลังมีการใช้งบประมาณรัฐ ในช่วงไตรมาส 2 เรื่องดอกเบี้ยนโยบาย และแอคชันตลาดหลักทรัพย์ ที่ออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ” ประกิต กล่าว
ด้านเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA เปิดเผยสูตรไม่ลับในการจัดพอร์ตลงทุน ว่า นักลงทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนตามเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกได้ ให้ตัวเลขตลาดหุ้นทั้งโลก มีขนาดการลงทุนประมาณกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 50% แบ่งเป็นอยู่ที่อเมริกากับแคนนาดา 15% อยู่ในยุโรป อีก 15% อยู่ในจีน ญี่ปุ่น ประมาณ 5% ส่วนที่เหลือ ยังกระจายในหลายประเทศ ทั้งออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย 15% ต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นตัวอย่างให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตตามนี้ได้ ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแต่เพียงอย่างเดียว
“ผมว่า ปีมังกรมันเป็นปีแห่งการตื่นรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศ เพราะว่าผู้นำทางความคิดด้านการลงทุนหลายคนลุกขึ้นมา นักลงทุนไทยก็เช่นกัน ไม่ได้พยายามบอกว่า ให้ทิ้งประเทศไทย แต่ก็อย่าไปหลงรักตลาดหุ้นบ้านเรามากจนเกินไป เพราะว่าจากที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมากว่า 20 ปี ตลาดหุ้นไม่เคยรักเราตอบเลย” เจษฎา กล่าว