จิปาถะ

"ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” สินเชื่อสายเปย์ดัน Gen Z เสี่ยงเป็นหนี้


20 กุมภาพันธ์ 2567
ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง สินเชื่อสายเปย์ดัน Gen Z .jpg

-ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง หรือ BNPL เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดย Gen Z ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ใช้บริการ BNPL มากกว่าครึ่ง
-คาดผู้ใช้ BNPL ทั่วโลก เพิ่มขึ้น 900 ล้านคน ในปี 2570 ขณะที่ไทย ปี 2571 BNPL จะมีมูลค่าสูง 15,818 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
-แม้ BNPL มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีส่วนช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ แต่อาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและการติดกับดักหนี้

เมื่อ Gen Z เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ในขณะที่โลกของ "สินเชื่อเพื่อผู้บริโภค" ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวน Gen Z  เพิ่มมากขึ้นที่เปิดรับแนวคิด "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" หรือ Buy Now Pay Later (BNPL) เป็นบริการให้สินเชื่อหรือการผ่อนชำระสินค้าที่เข้าถึงง่าย อนุมัติไว และปราศจากดอกเบี้ย หากชำระเงินตามเงื่อนไข

ตัวเลือกการชำระเงินนี้ดึงดูดความสนใจคนรุ่นใหม่ได้ไม่น้อย โดยเปลี่ยนความสนใจไปจากการใช้ธนาคารและบัตรเครดิตแบบเดิมๆ มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้ BNPL เพิ่มขึ้น ได้แก่ ความฉับไว ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น

ในรายงานนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" จะเจาะลึกถึงสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความสนใจที่เพิ่มขึ้นใน BNPL ในกลุ่ม Gen Z โดยตรวจสอบว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ให้กลายเป็นผู้เปลี่ยนเกมในพฤติกรรมผู้บริโภค

ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง BNPL คืออะไร

คือ การซื้อมาก่อน แล้วแบ่งจ่ายเป็นงวด เเล้วนำสินค้าเเละบริการไปใช้ได้ก่อนโดยไม่ต้องรอจ่ายเงินครบจำนวน ส่วนมากไม่มีดอกเบี้ย 

ยกตัวอย่างเช่น ต้องการซื้อ TV ยี่ห้อ A ในราคา 18,000 บาท ที่ทำโปรโมชั่นผ่อน 0% กับแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรืออาจเป็นบริการหนึ่งบนแอปพลิเคชันอื่นที่ไม่ได้ให้บริการทางการเงินโดยตรง มีเงื่อนไขผ่อนสินค้าระยะเวลา 12 เดือน แต่ดอกเบี้ย 0% แค่ 3 เดือน หรือแค่ 6 เดือน ขณะที่ TV แบรนด์ B ผ่อนชำระได้ แต่มีดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี เเละมีดอกเบี้ยสำหรับการชำระเงินไม่ตรงงวดด้วย 

BNPL เป็นบริการผ่อนชำระที่เข้ามาเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือมีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ผู้บริโภคซึ่งจากการเข้าถึงบริการได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต และสามารถใช้เพียงบัตรประชาชนสำหรับยืนยันตัวตนเพื่อขอสินเชื่อเท่านั้น 

ใครคือคนที่ซื้อตอนนี้ จ่ายเงินทีหลัง?

Gen Z ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ใช้บริการ BNPL มากกว่าครึ่ง ส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ

กลุ่ม Gen Z ที่ใช้บริการ BNPL 63.3 % มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท แบ่งเป็น

-ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท 36.7 %
-รายได้ระหว่าง 10,001 – 15,000 บาท 26.7 % สูงกว่าสัดส่วนของผู้ใช้ Gen Y และ Gen X

กลุ่ม Gen Z กว่า 38% ใช้บริการ BNPL ในการซื้อสินค้าจำพวกเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ สะท้อนถึงพฤติกรรมเสี่ยงของคนรุ่นใหม่ที่อาจก่อหนี้เกินตัวในอนาคต

BNPL กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น

62.3% สามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น หากมีบริการผ่อนชำระ BNPL อีกทั้ง BNPL ยังเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น

45.2 % มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการให้ข้อมูลของบริษัท Atome ประจำประเทศไทย ที่ระบุว่า BNPL ช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อเฉลี่ยต่อครั้งถึง 35 % รวมถึง ผลสำรวจ Lending tree ของสหรัฐอเมริกา ที่ชี้ให้เห็นว่า  2 ใน 3 ของผู้ที่เคยใช้บริการมีการใช้เงินมากกว่าเดิม การกระตุ้นการใช้จ่ายที่มากขึ้น ทำให้ผู้ใช้บริการมีโอกาสในการก่อหนี้มากขึ้น

สะท้อนจากผลการสำรวจที่พบว่า ผู้ใช้บริการ BNPL ถึง 49.4 % มีภาระหนี้ที่ต้องชำระอยู่แล้ว (ไม่รวมหนี้ BNPL) คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ มีระยะเวลาการผ่อนชำระสั้น และดอกเบี้ยสูง ทำให้มีภาระในการชำระหนี้ต่อเดือนสูง

แม้วงเงิน สินเชื่อ BNPL จะไม่ได้มีมูลค่าสูงนัก แต่การกระตุ้นการใช้จ่ายที่ทำให้ก่อหนี้หลายประเภทพร้อมกันอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระและเกิดหนี้เสียในระยะถัดไป โดยเฉพาะถ้าได้รับการปรับเพิ่มวงเงิน

ผู้ใช้บริการ BNPL คิดเห็นอย่างไร

ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการจะซื้อของไม่จำเป็นมากขึ้นหากมีการผ่อนชำระ รวมทั้งเห็นด้วยกับการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลกับตนเองก่อนการตัดสินใจออมหรือลงทุน

-57.6 % ของผู้ใช้ BNPL เห็นด้วยกับการจะซื้อสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นหากสามารถผ่อนชำระได้ ขณะที่ผู้ที่ไม่เคยใช้ BNPL เห็นด้วยกับทัศนคติดังกล่าวเพียง 31.3 %
-ผู้ใช้ BNPL 47.5 % ยังเห็นด้วยกับการจ่ายเพื่อให้รางวัลหรือตอบสนองความสุขของตนเองก่อนคิดถึงการออมและการลงทุน  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้บริการ Gen Z มีทัศนคติดังกล่าว
-มากถึง 51.7%  สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้ใช้ BNPL อาจขาดวินัยทางการเงินโดยเฉพาะในการสร้างนิสัยการออมและการลงทุน

ผู้ใช้บริการ BNPL ได้รับข้อมูลจากผู้ให้กู้ยืมยังไม่ครบถ้วน 

-15.3 % ไม่เคยได้รับแจ้งหรือได้รับแจ้งบางครั้งเกี่ยวกับดอกเบี้ย
-15.6 % ไม่เคยได้รับแจ้งหรือได้รับแจ้งบางครั้งเกี่ยวกับข้อกำหนดเมื่อค้างชำระหรือผิดนัดชำระ
-34 % ที่ให้ข้อเสนอแนะถึงความต้องการให้ภาครัฐกำกับดูแลบริการ BNPL ผ่านการออกกฎหมายควบคุมและกำกับดูแลร้านค้าผู้ให้บริการ
-29.9 % ต้องการให้ควบคุมดอกเบี้ยไม่ให้สูงเกินไป 

การไม่ได้รับ/ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจทำให้ผู้ใช้บริการตัดสินใจผิดพลาดและไม่ทราบถึงข้อควรระวังในการใช้ BNPL

สำรวจพฤติกรรมและความเสี่ยงจากการใช้บริการ BNPL

แนวโน้มพฤติกรรมการใช้เงินแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังในกลุ่มประชาชน ที่มีอายุระหว่าง 15 – 55 ปี ครอบคลุม 11 จังหวัด กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 2,945 คน เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้บริการ BNPL มีผู้ที่เคยใช้บริการ BNPL ประมาณ 23.1 % ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด

-กลุ่ม Gen Y (อายุ 28 – 45 ปี) ซึ่งมีสัดส่วน 60.1 % 
-กลุ่ม Gen Z (อายุ 15 – 27 ปี)  26.4 % และกลุ่ม Gen X (อายุ 46 – 55 ปี) ที่มีสัดส่วน 13.5 % 

ช่องทางในการใช้บริการ BNPL
-78.9 % ใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์
-สินค้าหลักที่นิยมซื้อ คือ สินค้าเทคโนโลยี และเครื่องใช้ไฟฟ้า/เฟอร์นิเจอร์

ราคาสินค้าที่ผู้ใช้บริการ BNPL
-ผ่อนชำระอยู่ที่ประมาณ 7,500 บาท

สถานะทางการเงินของผู้ใช้บริการ
-37 % เป็นกลุ่มที่มีรายได้ตำกว่า 15,000 บาท
-เหตุผลที่เลือกใช้บริการ BNPL  34.6 % ระบุว่า มีขั้นตอนการสมัครที่ง่ายและอนุมัติไว
-รองลงมาคือการไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีค่าธรรมเนียมที่ 19.4 %
-96.2 % ผู้ใช้บริการ BNPL เกือบทั้งหมดไม่เคยผิดนัดชำระในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
-3.1 % เคยผิดนัดชำระแต่ชำระแล้ว
-ผู้ที่ยังผิดนัดชำระอยู่มีสัดส่วนเพียงะ 0.7 % เท่านั้น

การเพิ่มขึ้นของ BNPL ทั่วโลก 

การขยายตัวของการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ รวมกับเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ผู้ผลิตสินค้าและสถาบันการเงินให้สินเชื่อหรือให้บริการผ่อนชำระผ่านกับผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น กำลังได้รับความนิยม และปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้บริการ BNPL เป็นจำนวนมาก

ข้อมูลของ Juniper Research พบว่า ปี 2565 จำนวนผู้ใช้ BNPL ทั่วโลกมีกว่า 360 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 900 ล้านคน เพิ่มขึ้น 157%  ในปี 2570

BNPL เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก

ปี 2563 ตลาด BNPL มีมูลค่า 87.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นประมาณ 43% เป็น 125.09 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 และสูงถึงประมาณ179.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2565

ภายในปี 2573 ตลาด BNPL คาดว่าจะมีมูลค่าที่น่าประทับใจ  3.27 ล้านล้านดอลลาร์

ในสหรัฐอเมริกาปี 2564 BNPL สร้างมูลค่าตลาดได้ถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2562 

ข้อมูลที่เข้ามาจากช่วงสุดสัปดาห์ช้อปปิ้งในวัน Black Friday ปีที่เเล้ว พบว่า ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ที่ใช้บริการ BNPLโดยเฉลี่ย 598 ดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว เทียบกับ 452 ดอลลาร์ในกลุ่มที่ไม่ใช้วิธีการชำระเงินแบบนี้ ตามการสำรวจผู้บริโภคในสหรัฐฯ 2,691 รายโดย PYMNTS Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล

สะท้อนให้เห็นว่า เเม้สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงลิ่วของสินเชื่อผู้บริโภค รวมถึงบัตรเครดิต การซื้อตอนนี้จ่ายทีหลัง ช่วยให้ผู้คนสามารถชำระค่าสินค้าแบบผ่อนชำระปลอดดอกเบี้ย อาจเป็นส่วนสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ 

สวีเดนมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาด BNPL 

สวีเดนครองตลาด BNPL มายาวนาน ย้อนกลับไปในปี 2559 สวีเดนเป็นผู้นำการชำระเงินอีคอมเมิร์ซในประเทศของ BNPL ซึ่งมากกว่าเนเธอร์แลนด์ ถึง 2 เท่า ภายในปี 2563 สัดส่วนการชำระเงินอีคอมเมิร์ซ BNPL ในสวีเดนเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า  เยอรมนีและนอร์เวย์อยู่ในอันดับที่สองและสาม

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นประเทศเดียวที่ไม่ใช่ยุโรปใน 10 อันดับแรก ที่จริงแล้ว อีก 8 ประเทศที่ใช้ BNPL มากที่สุดนั้นตั้งอยู่ในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ

BNPL ในประเทศไทย

Thailand Buy Now Pay Later Market Report 2565 คาดว่า มูลค่าตลาด BNPL ในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 5.5 – 6.5 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นมาก

แนวโน้มในอนาคตและการขยายตลาด

ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย ประเมินว่า ปี 2571 BNPL จะมีมูลค่าสูงถึง 15,818 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 17 เท่าจากปี 2564 แม้จะเป็นโอกาสทางธุรกิจ แต่จากความสะดวกในการเข้าถึงและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ BNPL ที่มีออฟไลน์หรือออนไลน์ อาจส่งผลให้คนไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้น และสร้างพฤติกรรมเสพติดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย จนนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมา

ห่วงดันหนี้ครัวเรือนเพิ่ม เร่งเสริมภูมิคุ้มกัน

 "หนี้ครัวเรือน" ของไทยยังน่ากังวล ตัวเลขล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงกว่า 90% ของ GDPและจากการศึกษาพฤติกรรมการใช้จ่ายของคน Gen Z มีแนวโน้มเป็นหนี้มากขึ้นในอนาคต เเละยังนิยมซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย แบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง

ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยต่างจากต่างประเทศหลายด้าน โดยคนไทยมีหนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิตสูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของยอดหนี้ครัวเรือนไทยทั้งหมด ซึ่งหนี้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคที่ไม่ช่วยสร้างรายได้ ขณะที่ต่างประเทศมีหนี้ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อบ้าน

ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้บริการ และทัศนคติของผู้ใช้บริการสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของ BNPL ในหลายประการ คือ

-มากกว่าครึ่งของเด็ก Gen Z ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ใช้บริการ BNPL และส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กรุ่นใหม่ที่อาจก่อหนี้เกินตัวในอนาคต

-BNPL กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ขณะที่ผู้ใช้ BNPL ยังเป็นกลุ่มที่มีหนี้หลายประเภท โดยผู้ใช้ BNPL มากกว่า 3 ใน 5 ระบุว่าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น หากมีบริการผ่อนชำระ อีกทั้ง ผู้ใช้บริการ BNPL เกือบครึ่งมีภาระหนี้อยู่แล้ว (ไม่รวมหนี้BNPL) จึงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้และเกิดหนี้เสียในระยะถัดไป

-ผู้ใช้บริการ BNPL ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการจะซื้อของไม่จ่าเป็นมากขึ้นหากมีการผ่อนช่าระ รวมทั้งเห็นด้วยกับการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลกับตนเองก่อนการตัดสินใจออมหรือลงทุน สะท้อนให้เห็นว่า บริการ BNPL อาจทำให้ผู้ใช้ขาดวินัยการออมและการลงทุน

-ผู้ใช้บริการ BNPL ได้รับข้อมูลจากผู้ให้กู้ยืมยังไม่ครบถ้วน และต้องการการกำกับดูแลจากภาครัฐ อาทิ ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย

"จากประเด็นข้างต้นชี้ให้เห็นว่า แม้ BNPL จะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและมีส่วนช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ แต่อาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและการติดกับดักหนี้ดังนั้น ประเทศไทยต้องมีกำกับดูแลที่ครอบคลุมผู้ให้บริการ BNPL ทุกประเภทอย่างชัดเจนดังเช่นในหลายประเทศ รวมถึงผู้ใช้บริการจำเป็นต้องมีวินัยทางการเงิน เพื่อให้ตระหนักถึงความเสี่ยงในการเป็นหนี้และการใช้จ่ายเกินตัว" สภาพัฒน์สรุป

ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/588864