เรื่องเด่นวันนี้
MTC เดินหน้าสู่ไมโครไฟแนนซ์ระดับโลก เคาะจ่ายปันผล 0.21 บ./หุ้น ปี 67 เป้าพอร์ตสินเชื่อคงค้างโต 20%
21 กุมภาพันธ์ 2567
บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เดินหน้าสู่ไมโครไฟแนนซ์ระดับโลก ปี 66 กำไรสุทธิ 4,906 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.21 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 29 เมษายน นี้ ฟากผู้บริหาร “ปริทัศน์ เพชรอำไพ” ตั้งเป้าปี 67 พอร์ตสินเชื่อโต 20% มั่นใจคุม NPL ไม่เกิน 3.2% เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.30-4.95% คาดเสนอขายระหว่างวันที่ 5-7 มี.ค.นี้
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ในภาพรวมตลาดจะมีการแข่งขันสูง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ยังเป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ด้วยการปล่อยสินเชื่อมีความรัดกุมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้าที่มีปัญหาชำระหนี้ ตามนโยบายแก้หนี้อย่างยั่งยืนของแบงก์ชาติ โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 5,611 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,351 ล้านบาท ขณะที่ ณ สิ้นปี 2566 พอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 143,318 ล้านบาท เติบโต 18.8% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 120,613 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมทั้งปี 2566 อยู่ที่ 24,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.2% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 20,068 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งปี 4,906 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลเป็นเงินสดจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) ในอัตรา 0.21 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 29 เมษายน 2567 และจ่ายปันผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2567
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในทุกๆผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 20% พอร์ตสินเชื่อคงค้างเพิ่มจาก 143,318 ล้านบาท เป็น 170,000 ล้านบาท เพื่อกระจายการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านสาขาที่มีอยู่กว่า 7,500 แห่ง โดยมุ่งสร้างความเท่าเทียมทางการเงินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พัฒนาการบริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในทุกมิติและเป็นมาตรฐานระดับสากล และวางเป้าหมายคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้ไม่เกิน 3.2% โดยมีแผนการจัดหาเงินทุนผ่านการกู้ยืมจากจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ และการออกหุ้นกู้
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 3 ชุด โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 8 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 7 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 5 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.95% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2567
“ที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในส่วนของภาคการบริโภคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงขาลง ในครึ่งหลังของปี 2567 เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ NIM ปรับตัวดีขึ้น” รองกรรมการผู้จัดการ MTC กล่าว
ทั้งนี้ MTC มุ่งมั่นยกระดับการบริการสินเชื่อให้เป็นแหล่งเงินทุนที่มีคุณภาพในมาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance) สอดรับความร่วมมือองค์การระหว่างประเทศหลายสถาบัน เช่น ความร่วมมือรัฐบาลญี่ปุ่น (JICA) และรัฐบาลเยอรมนี (KFW DEG) เพื่อระดมทรัพยากรทางการเงินเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง ภายใต้หลักธรรมาภิบาล เคารพในสิทธิ รักษาผลประโยชน์ และตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าให้เกิดความประทับใจสูงสุด
โดย MTC ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการอยู่ในระดับ “ดีเลิศ” (5 ดาว) รวมถึงผลประเมินหุ้นยั่งยืน (ESG Rating) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ A และผลประเมิน MSCI Index ในระดับ AA สะท้อนการเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่มีความรับผิดชอบและเป็นธรรม มุ่งสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เสริมความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจ เติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ในภาพรวมตลาดจะมีการแข่งขันสูง ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ยังเป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ด้วยการปล่อยสินเชื่อมีความรัดกุมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้าที่มีปัญหาชำระหนี้ ตามนโยบายแก้หนี้อย่างยั่งยืนของแบงก์ชาติ โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 5,611 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,351 ล้านบาท ขณะที่ ณ สิ้นปี 2566 พอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 143,318 ล้านบาท เติบโต 18.8% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 120,613 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมทั้งปี 2566 อยู่ที่ 24,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.2% เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 20,068 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งปี 4,906 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลเป็นเงินสดจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) ในอัตรา 0.21 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 29 เมษายน 2567 และจ่ายปันผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2567
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในทุกๆผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 20% พอร์ตสินเชื่อคงค้างเพิ่มจาก 143,318 ล้านบาท เป็น 170,000 ล้านบาท เพื่อกระจายการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านสาขาที่มีอยู่กว่า 7,500 แห่ง โดยมุ่งสร้างความเท่าเทียมทางการเงินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พัฒนาการบริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในทุกมิติและเป็นมาตรฐานระดับสากล และวางเป้าหมายคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้ไม่เกิน 3.2% โดยมีแผนการจัดหาเงินทุนผ่านการกู้ยืมจากจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ และการออกหุ้นกู้
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 3 ชุด โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 8 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 7 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 5 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.95% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2567
“ที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในส่วนของภาคการบริโภคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงขาลง ในครึ่งหลังของปี 2567 เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ NIM ปรับตัวดีขึ้น” รองกรรมการผู้จัดการ MTC กล่าว
ทั้งนี้ MTC มุ่งมั่นยกระดับการบริการสินเชื่อให้เป็นแหล่งเงินทุนที่มีคุณภาพในมาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance) สอดรับความร่วมมือองค์การระหว่างประเทศหลายสถาบัน เช่น ความร่วมมือรัฐบาลญี่ปุ่น (JICA) และรัฐบาลเยอรมนี (KFW DEG) เพื่อระดมทรัพยากรทางการเงินเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง ภายใต้หลักธรรมาภิบาล เคารพในสิทธิ รักษาผลประโยชน์ และตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าให้เกิดความประทับใจสูงสุด
โดย MTC ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการอยู่ในระดับ “ดีเลิศ” (5 ดาว) รวมถึงผลประเมินหุ้นยั่งยืน (ESG Rating) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ A และผลประเมิน MSCI Index ในระดับ AA สะท้อนการเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่มีความรับผิดชอบและเป็นธรรม มุ่งสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เสริมความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจ เติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน