หลังวานนี้ SET index ปรับตัวลง 6.26 จุด ปิดที่ระดับ 1381.07 จุดด้วยปริมาณการซื้อขาย 4.04 หมื่นล้านบาท (ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี ytd 4.3 หมื่นล้านบาท) การที่ปริมาณการซื้อขายในช่วงต้นปีอยู่ระดับดังกล่าว ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่ในช่วงไตรมาส 1 มักมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 6-7 หมื่นล้านบาท ด้วยสาเหตุหลัก คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 4Q66 ที่ออกมาต่ำคาด และ กองทุนต่างชาติอยู่ในช่วงจัดพอร์ตตาม MSCI และ FTSE ที่ลดน้ำหนักหุ้นไทยลงในบางบริษัทดังนั้นด้วยปริมาณการซื้อขายในปัจจุบันที่น้อยลง ทำให้ Program Trading มีบทบาทมากขึ้นทันที ซึ่งล่าสุด PROGRAM TRADING มีสัดส่วนถึง 43% ของทั้งตลาด ซึ่งทำให้ตลาดผันผวนกว่าปกติ อาทิ ราคาหลุดแนวรับสำคัญ หลังจากนั้นจะถูกแรงขายกดดันให้ลงลึกกว่าปกติ ดังนั้นด้วยการกระทำดังกล่าวของ Program Trading ทำให้มีหุ้นใน SET Index ที่ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าระดับ 52 สัปดาห์อยู่ถึง 8.7% (สูงสุดในรอบ 1 ปี)
บล.เอเชียพลัส มองว่าวันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเลี้ยงตัวแกว่งออกข้างต่อ 1374-1390 จุด สัญญาณรอฟื้นไม่เสีย โดยรอทะลุแนว Falling Wedge 1398 จุด (เส้นค่าเฉลี่ย 89 วัน) ขณะที่รายสัปดาห์ไม่ดึง Low ต่ำกว่า 1370 จุด ยังคงโอกาสทยอยดีด Target 1410-1420 จุด กรณีผิดคาดจะต้องเกิดการทำ Lower Low หลุด 1365 จุด เพราะจะยืนยันระยะ Continuous Pattern และไหลสู่ฐานลึก 1360 จุดต่อไป ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังซึมๆ เพราะอยู่ในช่วงรายงานงบ 4Q66 ที่ส่วนใหญ่ออกมาต่ำคาด สัดส่วนราว 70% พร้อมกับกองทุนต่างชาติอยู่ในช่วงจัดพอร์ตตาม MSCI และ FTSE ที่ลดน้ำหนักหุ้นไทยลงในบางบริษัท ที่สำคัญมูลค่าซื้อขายจาก Program Trade เร่งตัวขึ้น โดยเดือน ม.ค. 67 มีสัดส่วนสูงถึง 43.3% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด และสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ ที่ผ่านมา อาจเป็นอีกส่วนที่กดดันหุ้นที่กำไรต่ำคาดได้ Toppick เลือกหุ้นผันผวนต่ำ BDMS, BEM, CPALL
สรุป การที่ SET index มีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง ทำให้ PROGRAM TRADING มีบทมากมากขึ้นอย่างมีนัยฯ และทำให้ราคาหุ้นผันผวนกว่าเหตุอันควรดังนั้นระยะถัดไป หากความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา และหนุนให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น คาดทำให้ SET Index มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ