Wealth Sharing

BBIK กางแผนธุรกิจปี 67 ลุยตปท.สร้าง Synergy


22 กุมภาพันธ์ 2567
BBIK กางแผนธุรกิจปี 67 copy.jpg

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน   ครบวงจร เปิดแผนธุรกิจปี 2567 เดินหน้าขยายฐานลูกค้าแบบ 360 องศา ครอบคลุมลูกค้าขนาดกลาง – ใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศ หลังแผน Synergy การทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทในเครือประสบความสำเร็จ ปักหมุดรุกตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล็งใช้ประโยชน์จากบริษัทในเครือเพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่ม ผนวกกับแนวโน้มการลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันทั่วโลกยังเติบโตถึง 10% หรือราว 2.51 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าผลประกอบการปี 2567 สามารถโต 50% ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยผลประกอบการปี 2566 โตกว่าเป้า มีกำไรสุทธิ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) และรายได้อยู่ที่ 1,313 ล้านบาท โตขึ้น 133% (YoY)
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมประกาศมติประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1/2567 ที่ได้มีการอนุมัติและเสนอต่อ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในการจ่ายปันผลจากผลดำเนินงานงวดปี 2566 มูลค่า 0.80 บาทต่อหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 108,882,400 หุ้น โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญปันผลจำนวนไม่เกิน 45.57 ล้านบาทหรือ 0.4185 บาทต่อหุ้น และเป็น   เงินสดจำนวนประมาณ 41.54 ล้านบาท หรือ 0.3815 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD)  วันที่ 30 เมษายน 2567 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวว่า สำหรับปี 2567 แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ แต่ความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังเติบโต เพราะการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมต้องทำอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์เทรนด์การทำธุรกิจ เพื่อรักษา     ขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อให้สอดรับกับการพิจารณาใช้งบประมาณที่เคร่งครัดมากขึ้นของลูกค้า และในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยเช่นกัน 
โดย 6 ปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบลูบิค มีดังต่อไปนี้
1) แผนบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทย่อยในเครือ เพื่อสร้าง Economy of Scale รวมถึงการเพิ่ม Employee Utilization Rate ของพนักงาน พร้อมทำ Cross-Selling และ Up-Selling ขยายการให้บริการพร้อมผลิตภัณฑ์ผ่านฐานลูกค้าของแต่ละบริษัทในเครือ 
2) แผนการเพิ่มรายได้ In-Organic Growth รวมถึงการมองหาดีล M&A ใหม่ ๆ เพื่อเสริมแกร่งและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของบริษัทย่อย อาทิ บริษัท ซอส สกิลล์ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจ Corporate Training ยกระดับทักษะด้านดิจิทัล ธุรกิจ และความเป็นผู้นำองค์กร ได้รับการตอบรับอย่างสูงตั้งแต่ต้นปีนี้ และทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น
3) แผนขยายตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นเจาะตลาดที่มีศักยภาพสูง อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย     ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเติบโตต่อเนื่อง
4) แผนต่อยอดการเติบโตของบริการหลักจากเทรนด์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน อาทิ
-เทรนด์การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Agile เพื่อสร้าง Hyper Scaling ให้กับองค์กรที่ต้องการสร้าง Digital Ecosystem ที่มีความยืดหยุ่นสูง และรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทางธุรกิจได้ทุกแง่มุม          ผ่านผลิตภัณฑ์ EDNA (Event-Driven Nano Architecture) ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีความยืดหยุ่น รองรับการปรับเพิ่มและลดขนาดการใช้ทรัพยากรได้อย่างอิสระ โดยไม่กระทบบริการอื่น 
-เทรนด์ด้าน Generative AI ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถให้กับองค์กรในปัจจุบัน โดย Democratized Generative AI เป็นหนึ่งในบริการของบลูบิคที่จะช่วยให้องค์กรเข้าถึงเทคโนโลยี Gen AI ในวงกว้าง ช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เร็วมากขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การลดงานซ้ำซาก และยกระดับการเข้าถึงลูกค้าผ่านการหา Customer Insights ด้วย AI เป็นต้น 
-เทรนด์การโจมตีทางด้านไซเบอร์ ที่รุนแรงขึ้นจนสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 70% ทั่วโลก ระหว่างปี 2566 - 2571 จึงทำให้บลูบิคพัฒนาบริการที่เรียกว่า ‘Cyber Guardians’ ที่จะช่วยปกป้อง ป้องกัน รับมือ และคุ้มครอง รวมถึงยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับองค์กรธุรกิจ ถือได้ว่าเป็นการให้บริการด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ที่เข้มข้นและครอบคลุมกว่าเดิม 
5) ปัจจัยบวกจากการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มปีเพิ่มเติม จากบริษัท วัลแคน ดิจิทัล เดลิเวอรี่ จำกัด (BBVC) และบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ (Innoviz) ที่คาดว่าจะได้รับอนุมัติในครึ่งปีหลังของปีนี้
6) ส่วนแบ่งกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้นจากการถือครองหุ้นเพิ่มใน Innoviz จากเดิม 55% (ณ สิ้นปี 2566) เป็น 85% โดยกระบวนการซื้อขายหุ้นเพิ่มคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ 
“นับวันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็ยิ่งมีความซับซ้อนและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการให้บริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจรของบลูบิคถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นแผนการข้างต้นไม่เพียงจะสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการ ยังทำให้บลูบิคสามารถรับงานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนได้มากขึ้น และรองรับการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพ อาทิ ประเทศเวียดนาม ที่เรามี แหล่งทรัพยากรบุคคล หรือ Tech Talent ศักยภาพสูง อีกทั้งยังคาดการณ์ว่ามีเม็ดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศเวียดนามจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง” นายพชร กล่าวเพิ่มเติม 
สำหรับผลประกอบการประจำปี 2566 เติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิแตะ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีรายได้อยู่ที่ 1,313 ล้านบาท โต 133% (YoY) เป็นผลมาจากความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยังเติบโตต่อเนื่อง แสดงให้เห็นชัดเจนผ่านการเติบโตในส่วนงานด้านบริการที่ปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร (Digital Excellence & Delivery) และบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data & Advanced Analytics) รวมถึงความสำเร็จในการดำเนินแผนยุทธศาสตร์การสร้าง Synergy ระหว่างบริษัทในเครือ ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถรับงานได้มากขึ้น
ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 4 ประจำปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ (QoQ) และมีรายได้ 372 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11% สำหรับ Backlog ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีมูลค่าราว 863 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มาจากบลูบิค 709 ล้านบาท และบริษัทร่วมทุนอีก 154 ล้านบาท โดยในส่วนของบลูบิคเตรียมรับรู้รายได้ในปีนี้ 579 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้หลังจากปี 2567 ในขณะที่บริษัทร่วมทุนจะรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้
“แม้ต้องเจอกับความท้าทายหลายด้านในช่วงที่ผ่านมา แต่บลูบิคยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่อยู่ในระดับสูงถึง 80% นับตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2566 และในปีนี้เราเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการจะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพเช่นที่ผ่านมา และทำนิวไฮต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ซึ่งเป็นผลมาจากอีโคซิสเต็มด้านบริการที่แข็งแกร่ง และแผนการลงทุนในธุรกิจที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันของบริษัทย่อยในเครือ” นายพชร กล่าวปิดท้าย