จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : รัฐบาลหนุนไทย “ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล” ดันผลงาน INET ปีนี้โตแกร่ง 10-20%
23 กุมภาพันธ์ 2567
รัฐบาลมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) ผลักดันการเติบโตของ บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (INET) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจรให้มีความแข็งแกร่ง
รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวเป็นที่ 1 ของภูมิภาค ด้วยข้อได้เปรียบของประเทศไทย ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว สภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นตลอดปี โครงสร้างที่พร้อมต่อยอด และที่สำคัญ คือศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub)
รัฐบาลตั้งเป้าดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Digital for all Technology Innovation AI ให้มาขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยี High Tech ต่างๆ ทั้งการลงทุนโรงงานผลิต Semiconductor, การตั้งศูนย์ Data Center รองรับ Cloud Computing, การวิจัยและนำ AI มาใช้งานในประเทศไทย รวมถึงดึงบริษัท Deep Tech ให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วยเช่นกันผ่านโมเดล Sandbox ซึ่งรัฐบาลจะมีเงินสนับสนุนบริษัทที่ต้องการผ่านกองทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และจะทำ Matching Fund เติมทุนให้กับบริษัทที่มีศักยภาพ
การสนับสนุนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล หนุนการเติบโต ของบมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (INET) ที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร แบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. บริการ Cloud Solutions 2. บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Access ) 3. บริการ Co-Location
“วัลล์ชัย เวชชีวะดำรง” รองกรรมการผู้จัดการ INET ระบุบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโต 10-20% หรืออยู่ที่ 2.4-2.5 พันล้านบาท มาจากธุรกิจ Cloud เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ Cloud เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าภาคธุรกิจ เห็นได้จากในช่วงโครงการ Easy e-receipt ลูกค้าภาคธุรกิจหลายรายต้องการออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงเข้ามาใช้บริการ Cloud ของ INET มากขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ราย จากสิ้นปี 66 ที่ 2,000 ราย
ในปี 67 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นไปแตะ 5,000-6,000 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขายโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 เข้ากอง INETREIT ไปใช้สำหรับการเพิ่มศักยภาพของระบบเทคโนโลยีของบริษัท ให้สามารถรองรับบริกานลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงการทำงานในด้านการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยที่ในปีนี้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Cloud จะเพิ่มเป็น 80% ของรายได้รวม จากเดิมที่ 50-60% ของรายได้รวม
ขณะเดียวกันยังมองถึงการขยายงานบริการด้านเทคโนโลยีอื่นๆในแง่ของแพลตฟอร์ม โซลูชั่น ที่เข้ามาช่วยผู้ประกอบการในด้านธุรกิจในการบริหารจัดการข้อมูลที่กระจายอยู่เป็นๆชุดๆให้อยู่ในชุดเดียวกัน ทำให้การบริการจัดการข้อมูลในองค์กรภาคธุรกิจสามารถจัดการง่ายขึ้น รวมถึงการที่มีโซลูชั่นเพิ่มเติมในการช่วยให้การทำงานของภาคธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับระบบของหน่วยงานภาครัฐได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นจุดแข็งของ INET
ด้านการลงทุนอื่นๆในอนาคตของบริษัทจะมีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในจังหวัดข่อนแก่น ซึ่งจะตั้งใกล้กับศูนย์ Innovation Hub ของบริษัท แต่ยังรอโครงการ INET-IDC2 เฟส 2 ให้มีลูกค้าจองเต็ม 100% ก่อน ซึ่งตั้งเป้าจะเต็ม 100% ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีลูกค้าทำสัญญาใช้บริการแล้ว 50% โดยการลงทุนในโครงการดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 2 พันล้านบาท
ขณะที่ บล.โกลเบล็ก คาดการณ์ กำไรสุทธิ 4Q66 ที่ 65 ล้านบาท (+10.8% QoQ, -8.4% YoY) รายได้และ GPM ดีขึ้น QoQ แต่ SG&A สูงขึ้นเพราะการจ่ายโบนัสพนักงาน
และปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2566-2567 ขึ้น 20% และ 33% ตามลำดับ เป็น193 ล้านบาท (+18% YoY) และ 214 ล้านบาท (+11% YoY) โด0ยปรับไปใช้ P/BV ที่ 0.9x (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต) ในการประเมินมูลค่าได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 4.76 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ “TRADING”
รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวเป็นที่ 1 ของภูมิภาค ด้วยข้อได้เปรียบของประเทศไทย ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว สภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นตลอดปี โครงสร้างที่พร้อมต่อยอด และที่สำคัญ คือศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub)
รัฐบาลตั้งเป้าดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Digital for all Technology Innovation AI ให้มาขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยี High Tech ต่างๆ ทั้งการลงทุนโรงงานผลิต Semiconductor, การตั้งศูนย์ Data Center รองรับ Cloud Computing, การวิจัยและนำ AI มาใช้งานในประเทศไทย รวมถึงดึงบริษัท Deep Tech ให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วยเช่นกันผ่านโมเดล Sandbox ซึ่งรัฐบาลจะมีเงินสนับสนุนบริษัทที่ต้องการผ่านกองทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และจะทำ Matching Fund เติมทุนให้กับบริษัทที่มีศักยภาพ
การสนับสนุนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของรัฐบาล หนุนการเติบโต ของบมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (INET) ที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร แบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. บริการ Cloud Solutions 2. บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Access ) 3. บริการ Co-Location
“วัลล์ชัย เวชชีวะดำรง” รองกรรมการผู้จัดการ INET ระบุบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโต 10-20% หรืออยู่ที่ 2.4-2.5 พันล้านบาท มาจากธุรกิจ Cloud เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ Cloud เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าภาคธุรกิจ เห็นได้จากในช่วงโครงการ Easy e-receipt ลูกค้าภาคธุรกิจหลายรายต้องการออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงเข้ามาใช้บริการ Cloud ของ INET มากขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ราย จากสิ้นปี 66 ที่ 2,000 ราย
ในปี 67 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นไปแตะ 5,000-6,000 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งจะนำเงินที่ได้จากการขายโครงการ INET-IDC3 เฟส 2 เข้ากอง INETREIT ไปใช้สำหรับการเพิ่มศักยภาพของระบบเทคโนโลยีของบริษัท ให้สามารถรองรับบริกานลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงการทำงานในด้านการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยที่ในปีนี้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Cloud จะเพิ่มเป็น 80% ของรายได้รวม จากเดิมที่ 50-60% ของรายได้รวม
ขณะเดียวกันยังมองถึงการขยายงานบริการด้านเทคโนโลยีอื่นๆในแง่ของแพลตฟอร์ม โซลูชั่น ที่เข้ามาช่วยผู้ประกอบการในด้านธุรกิจในการบริหารจัดการข้อมูลที่กระจายอยู่เป็นๆชุดๆให้อยู่ในชุดเดียวกัน ทำให้การบริการจัดการข้อมูลในองค์กรภาคธุรกิจสามารถจัดการง่ายขึ้น รวมถึงการที่มีโซลูชั่นเพิ่มเติมในการช่วยให้การทำงานของภาคธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับระบบของหน่วยงานภาครัฐได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นจุดแข็งของ INET
ด้านการลงทุนอื่นๆในอนาคตของบริษัทจะมีการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในจังหวัดข่อนแก่น ซึ่งจะตั้งใกล้กับศูนย์ Innovation Hub ของบริษัท แต่ยังรอโครงการ INET-IDC2 เฟส 2 ให้มีลูกค้าจองเต็ม 100% ก่อน ซึ่งตั้งเป้าจะเต็ม 100% ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีลูกค้าทำสัญญาใช้บริการแล้ว 50% โดยการลงทุนในโครงการดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 2 พันล้านบาท
ขณะที่ บล.โกลเบล็ก คาดการณ์ กำไรสุทธิ 4Q66 ที่ 65 ล้านบาท (+10.8% QoQ, -8.4% YoY) รายได้และ GPM ดีขึ้น QoQ แต่ SG&A สูงขึ้นเพราะการจ่ายโบนัสพนักงาน
และปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2566-2567 ขึ้น 20% และ 33% ตามลำดับ เป็น193 ล้านบาท (+18% YoY) และ 214 ล้านบาท (+11% YoY) โด0ยปรับไปใช้ P/BV ที่ 0.9x (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต) ในการประเมินมูลค่าได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 4.76 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ “TRADING”