ภายหลังคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เห็นชอบมาตรการยกระดับความเชื่อมั่นเรื่อง Short selling โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้ เพิ่มขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขั้นต่ำ จากเดิม 5,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท เพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับการพิจารณาสภาพคล่องของหุ้น โดยกำหนดให้หุ้นนั้นจะต้องมีสัดส่วนปริมาณการซื้อขายต่อเดือนเมื่อเทียบกับปริมาณหุ้นจดทะเบียน (monthly turnover) มากกว่า 2%
กรณีที่ราคาหุ้นรายหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% จากราคาปิดของวันก่อนหน้ากำหนดให้ราคาขายชอร์ตต้องเป็นราคาที่สูงกว่าราคาล่าสุด (uptick rule) เพิ่มการเปิดเผยข้อมูลรายวันของยอดสะสมปริมาณการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน สำหรับแต่ละหลักทรัพย์
“กระบวนการทั้งหมดข้างต้น เราเชื่อว่าหากทำได้จริง จะเป็นการลดทอนแรงจูงใจต่อการเข้าทำธุรกรรม Short selling ได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในข้อที่ 4 ซึ่งจะมีการเปิดเผยระดับ Open interest ของสถานะชอร์ตที่ยังคงค้างอยู่ เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ที่มีการเปิดเผยเฉพาะยอดวอลุ่มการขายซอร์ตในแต่ละวันเท่านั้น” บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ระบุ
ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบหาหุ้นที่เคยอยู่ในธุรกรรมขายชอร์ต แต่อาจหลุดออกจากบัญชีดังกล่าวได้ หาก ตลท. มีการนำเกณฑ์ใหม่มาใช้ เราจึงได้เก็บข้อมูลธุรกรรมขายชอร์ตตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และนำมากรองด้วยตัวแปรต่างๆดังนี้
- เป็นหุ้นที่มีขนาด Market cap ปัจจุบัน (ณ วันที่ 21 ก.พ.) ต่ำกว่าระดับ 7,500 ล้านบาท
- เป็นหุ้นที่มีสัดส่วน Turnover ratio ในเดือน ม.ค. และเดือน ก.พ. ต่ำกว่าระดับ 2%
เมื่อนำหุ้นที่ผ่านเกณฑ์ข้างต้น มาจัดเรียงตามสัดส่วนการ Short selling เทียบกับวอลุ่ม
การซื้อขายในกระดานหลักจากมากไปหาน้อย จะพบว่าหุ้นที่อาจเห็นแรงกดดันน้อยลงเมื่อ
เทียบกับแต่ก่อน หาก ตลท.มีการบังคับใช้เกณฑ์ Short selling ใหม่ จะได้แก่ LPN, WORK, DUSIT, HTC, ASP, SMPC, BGC, TTCL, STPI, TOG เป็นต้น