CPANEL ตั้งเป้าปี 67 โต 20% ปรับปรุงระบบการผลิต พร้อมเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ดันกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ แตะ 2 ล้านตร.ม. มุ่งเน้น Green Construction Technology เพิ่มโอกาสการแข่งขัน เทรนด์ขายก่อนสร้างทีหลังดัน Precast Concrete โตสวนกระแสตลาดอสังหาฯ
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2567 บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานเดิม พร้อมเปิดโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ส่งผลให้ CPANEL จะมีกำลังการผลิตรวม 2 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศไทย
โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20% พร้อมเพิ่มความสามารถการทำกำไรจากการดำเนินงานปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมในโรงงานผลิตเดิม จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 7.9 แสนตารางเมตรต่อปี จะเพิ่มอีก 25% เป็น 9.9 แสนตารางเมตร และโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/67 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตทั้ง 2 โรงงาน รวมกันราว 2 ล้านตารางเมตรต่อปี
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้โรงงานผลิตแห่งที่ 2 อยู่ในช่วงทดลองระบบ อาจจะไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มปี โดยในปี 68 หากเดินเครื่องได้เต็มกำลังแล้ว คาดว่าจะผลักดันให้ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ กระบวนการผลิตของ CPANEL ทั้ง 2 โรงงาน ถือเป็นโรงงาน Precast Concrete ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง ทั้งเรื่องการออกแบบ ความรวดเร็ว ปริมาณ และคุณภาพ รวมถึงลดความผิดพลาด ความสูญเสียในการผลิต ถือเป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบของบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเริ่มดำเนินงานของโรงงานผลิตแห่งที่ 2 จะยิ่งเพิ่มศักยภาพบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขายได้ดีขึ้น อีกทั้งมีกระบวนการผลิตเร็วกว่าเดิม 30% ใช้แรงงานน้อยกว่าเดิม รวมถึงค่าบริหารจัดการและบุคลากรในกระบวนการผลิต จากเดิม 15% ของรายได้ จะลดลงเหลือ 7% โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มโอกาสการรับงาน รองรับความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น และส่งผลให้บริษัทมี Economy of Scale เพิ่มความสามารถการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทได้ใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) ในปีนี้บริษัทจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์การเป็น Green Construction Technology ลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนที่จะเปลี่ยนพลังงานเป็น Renewable Energy และเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นวัสดุลดคาร์บอนทั้งหมด
อีกทั้งใบรับรองจาก TGO ทำให้ CPANEL สามารถออกรายการคำนวณคาร์บอนให้กับลูกค้าได้ด้วย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจชื้อของลูกค้า และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ปรับเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับลูกค้าได้จากแผนดำเนินงานดังกล่าว ถือเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน โรงงานนิคมอุตสาหกรรม
“สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 มองว่ายังคงเผชิญความท้าทาย ทั้งหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง นโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อสินค้าคงทน (Durable goods) ลดลง ดังนั้นแนวโน้มของโครงการก่อสร้างในปัจจุบันจึงมีลักษณะขายก่อนสร้างทีหลัง ทำให้ผู้ประกอบการที่ยังมีการลงทุนในโครงการต่างๆ ต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ทันเวลา และเป็นการลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการในการสต็อกบ้าน ลดค่าแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูง อีกทั้งสามารถรักษา Working Cap ในการดำเนินงานได้ ซึ่ง Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ถือเป็นโอกาสในการรับงานของบริษัท และเชื่อว่าจากปัจจัยเกื้อหนุนดังกล่าวจะผลักดันให้ผลประกอบการปี 2567 เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้” นายชาคริต กล่าว
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2567 บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานเดิม พร้อมเปิดโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ส่งผลให้ CPANEL จะมีกำลังการผลิตรวม 2 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศไทย
โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20% พร้อมเพิ่มความสามารถการทำกำไรจากการดำเนินงานปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมในโรงงานผลิตเดิม จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 7.9 แสนตารางเมตรต่อปี จะเพิ่มอีก 25% เป็น 9.9 แสนตารางเมตร และโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/67 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตทั้ง 2 โรงงาน รวมกันราว 2 ล้านตารางเมตรต่อปี
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้โรงงานผลิตแห่งที่ 2 อยู่ในช่วงทดลองระบบ อาจจะไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มปี โดยในปี 68 หากเดินเครื่องได้เต็มกำลังแล้ว คาดว่าจะผลักดันให้ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ กระบวนการผลิตของ CPANEL ทั้ง 2 โรงงาน ถือเป็นโรงงาน Precast Concrete ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง ทั้งเรื่องการออกแบบ ความรวดเร็ว ปริมาณ และคุณภาพ รวมถึงลดความผิดพลาด ความสูญเสียในการผลิต ถือเป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบของบริษัทมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเริ่มดำเนินงานของโรงงานผลิตแห่งที่ 2 จะยิ่งเพิ่มศักยภาพบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขายได้ดีขึ้น อีกทั้งมีกระบวนการผลิตเร็วกว่าเดิม 30% ใช้แรงงานน้อยกว่าเดิม รวมถึงค่าบริหารจัดการและบุคลากรในกระบวนการผลิต จากเดิม 15% ของรายได้ จะลดลงเหลือ 7% โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มโอกาสการรับงาน รองรับความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น และส่งผลให้บริษัทมี Economy of Scale เพิ่มความสามารถการทำกำไรอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทได้ใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) ในปีนี้บริษัทจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์การเป็น Green Construction Technology ลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนที่จะเปลี่ยนพลังงานเป็น Renewable Energy และเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นวัสดุลดคาร์บอนทั้งหมด
อีกทั้งใบรับรองจาก TGO ทำให้ CPANEL สามารถออกรายการคำนวณคาร์บอนให้กับลูกค้าได้ด้วย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจชื้อของลูกค้า และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ปรับเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับลูกค้าได้จากแผนดำเนินงานดังกล่าว ถือเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน โรงงานนิคมอุตสาหกรรม
“สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 มองว่ายังคงเผชิญความท้าทาย ทั้งหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง นโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อสินค้าคงทน (Durable goods) ลดลง ดังนั้นแนวโน้มของโครงการก่อสร้างในปัจจุบันจึงมีลักษณะขายก่อนสร้างทีหลัง ทำให้ผู้ประกอบการที่ยังมีการลงทุนในโครงการต่างๆ ต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ทันเวลา และเป็นการลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการในการสต็อกบ้าน ลดค่าแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูง อีกทั้งสามารถรักษา Working Cap ในการดำเนินงานได้ ซึ่ง Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ถือเป็นโอกาสในการรับงานของบริษัท และเชื่อว่าจากปัจจัยเกื้อหนุนดังกล่าวจะผลักดันให้ผลประกอบการปี 2567 เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้” นายชาคริต กล่าว