ผ่านมาเกือบครบ 2 เดือนเต็มสำหรับปี 2567 ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงไม่สามารถเรียกได้ว่าสดใส แม้จะมีหุ้นหลายๆ กลุ่มเริ่มฟื้นขึ้นมาบ้างแล้ว อีกทั้งมีหุ้นตัวจี๊ด ทำราคาปรับขึ้นอย่างรุนแรงจนเป็นประเด็นดราม่าที่น่าติดตามอย่างเพลิดเพลินพอๆ กับข่าวบันเทิง
สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์รอมร่อถือว่าลบไปประมาณนึงราว 1.5-2.2% จากระดับการปิดดัชนี SET Index เมื่อปลายปี 2566 ทว่าที่น่าใจหายคือมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสองเดือนแรกปีนี้ลดลงมาอยู่เพียง 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน คิดเป็นมากกว่า 10% เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยปีที่แล้ว และแน่นอนต่างชาติยังเป็นฝ่ายขายสะสมสุทธิอยู่
เสียดายภาพที่ช่วงต้นๆ ปีในเดือนมกราคมอุตส่าห์พ้น 1,400 จุดได้อย่างแข็งแรงจนไปไกลใกล้เคียง 1,435 จุด จากนั้นก็ร่วงมาสร้างฐานสะสมพลังแถว 1,380 จุด แล้วพยายามแหวกแนวต้านสำคัญที่ 1,400 จุดอีกครั้ง กระทั่งสำเร็จไปเมื่อราวสัปดาห์ก่อนเพียงแต่มิอาจยืนทรงได้นาน สุดท้ายปลายเดือนนี้ก็น่าจะจบอยู่ในกรอบ 1,380-1,400 จุดต่อไป
ท่ามกลางภาวะทั้งลบและบวก (น่าจะลบมากกว่าเล็กน้อย) กลุ่มหุ้นสำคัญใน SET50 ที่ช่วงต้นปีปรับขึ้นได้ชัดเจนอาทิ พลังงาน, ปิโตรเคมี และ ธนาคาร ส่วนกลุ่มหุ้นสำคัญใน SET50 ที่ปรับลงอาทิ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีก
สำหรับหุ้นรายตัวที่ปรับขึ้นแรงมีค่อนข้างหลากหลาย จัดอับดับหลักทรัพย์ที่อยู่ใน SET50 ซึ่งสามารถปรับขึ้นได้มากที่สุด (อ้างอิงราคาปิดวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567) เมื่อเทียบกับราคาปิดสิ้นปี 2566 ได้ดังนี้
จากหุ้นใน SET50 ซึ่งมี 50 หลักทรัพย์มีเพียง 17 หุ้นเท่านั้นที่บวกได้เมื่อเทียบกับราคาปิดสิ้นปีก่อน ทว่าที่บวกได้น้ำได้เนื้อระดับเกิน 5% ขึ้นไปนั้นมีไม่ถึง 10 หุ้น และที่บวกเกิน 10% มีเพียง 3 หุ้น ตัวที่ร้อนแรงที่สุด คือ TRUE นั่งบัลลังก์แชมป์ปรับเพิ่มขึ้นถึง 42.57% อันดับ 2 คือ TTB ปรับเพิ่ม 11.98% และอันดับ 3 คือ AWC เพิ่มขึ้น 10.11% ซึ่งเหล่านี้ล้วนมีปัจจัยบวกสนับสนุนอย่างเป็นปัจเจก ขณะที่ตัวอื่นๆ ในตารางข้างต้นก็มีบางตัวทรงดีที่พอลุ้นได้ว่าเดือนหน้าอาจขึ้นมาแย่งตำแหน่งผู้นำกลุ่มก็เป็นได้
สรุปภาวะตลาดหุ้นไทยก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์รอมร่อถือว่าลบไปประมาณนึงราว 1.5-2.2% จากระดับการปิดดัชนี SET Index เมื่อปลายปี 2566 ทว่าที่น่าใจหายคือมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสองเดือนแรกปีนี้ลดลงมาอยู่เพียง 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน คิดเป็นมากกว่า 10% เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยปีที่แล้ว และแน่นอนต่างชาติยังเป็นฝ่ายขายสะสมสุทธิอยู่
เสียดายภาพที่ช่วงต้นๆ ปีในเดือนมกราคมอุตส่าห์พ้น 1,400 จุดได้อย่างแข็งแรงจนไปไกลใกล้เคียง 1,435 จุด จากนั้นก็ร่วงมาสร้างฐานสะสมพลังแถว 1,380 จุด แล้วพยายามแหวกแนวต้านสำคัญที่ 1,400 จุดอีกครั้ง กระทั่งสำเร็จไปเมื่อราวสัปดาห์ก่อนเพียงแต่มิอาจยืนทรงได้นาน สุดท้ายปลายเดือนนี้ก็น่าจะจบอยู่ในกรอบ 1,380-1,400 จุดต่อไป
ท่ามกลางภาวะทั้งลบและบวก (น่าจะลบมากกว่าเล็กน้อย) กลุ่มหุ้นสำคัญใน SET50 ที่ช่วงต้นปีปรับขึ้นได้ชัดเจนอาทิ พลังงาน, ปิโตรเคมี และ ธนาคาร ส่วนกลุ่มหุ้นสำคัญใน SET50 ที่ปรับลงอาทิ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร,
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีก
สำหรับหุ้นรายตัวที่ปรับขึ้นแรงมีค่อนข้างหลากหลาย จัดอับดับหลักทรัพย์ที่อยู่ใน SET50 ซึ่งสามารถปรับขึ้นได้มากที่สุด (อ้างอิงราคาปิดวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567) เมื่อเทียบกับราคาปิดสิ้นปี 2566 ได้ดังนี้
จากหุ้นใน SET50 ซึ่งมี 50 หลักทรัพย์มีเพียง 17 หุ้นเท่านั้นที่บวกได้เมื่อเทียบกับราคาปิดสิ้นปีก่อน ทว่าที่บวกได้น้ำได้เนื้อระดับเกิน 5% ขึ้นไปนั้นมีไม่ถึง 10 หุ้น และที่บวกเกิน 10% มีเพียง 3 หุ้น ตัวที่ร้อนแรงที่สุด คือ TRUE นั่งบัลลังก์แชมป์ปรับเพิ่มขึ้นถึง 42.57% อันดับ 2 คือ TTB ปรับเพิ่ม 11.98% และอันดับ 3 คือ AWC เพิ่มขึ้น 10.11% ซึ่งเหล่านี้ล้วนมีปัจจัยบวกสนับสนุนอย่างเป็นปัจเจก ขณะที่ตัวอื่นๆ ในตารางข้างต้นก็มีบางตัวทรงดีที่พอลุ้นได้ว่าเดือนหน้าอาจขึ้นมาแย่งตำแหน่งผู้นำกลุ่มก็เป็นได้