‘บมจ. โอสถสภา (OSP)’ เผยผลงานปี 2566 ทำรายได้จากการขาย 26,062 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,402 ล้านบาท เติบโตกว่า 24% จากปีก่อน ด้วยกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ประกอบกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านอัตรากำไรขั้นต้นที่เติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี พร้อมตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาด โดยแบรนด์ ‘เอ็ม-150’ ครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 และยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส ส่วนแบรนด์ ‘ซี-วิท’ ยึดครองเบอร์ 1 เหนียวแน่นทั้งในตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟังก์ชันนัลดริงก์และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี โอสถสภาเดินหน้าปรับโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจและรองรับการเติบโตระยะยาวในทุกด้าน เตรียมจ่ายเงินปันผลทั้งปี 1.65 บาทต่อหุ้น คงเหลือจ่ายปันผลจากการดำเนินงานงวดครึ่งปีหลัง 0.45 บาทต่อหุ้น พร้อมวางเป้าผลักดันรายได้และอัตรากำไรเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ และเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 26,062 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส จากการดำเนินกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ควบคู่การสื่อสารการตลาดที่สร้างความแตกต่างผ่านโครงการเอ็ม-150 ซุปเปอร์สตาร์ ทำให้แบรนด์ ‘เอ็ม-150’ เป็นผู้นำตลาดที่ครองใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง พร้อมแรงสนับสนุนจากแบรนด์ ลิโพที่เติบโตโดดเด่นในปีนี้ ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ฟังก์ชันนัลดริงก์ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมนำเสนอคุณประโยชน์ใหม่ๆ รวมถึงการใช้ช่องทางการสื่อสารที่สอดรับกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ผลักดันให้แบรนด์ ‘เปปทีน’ และ ‘คาลพิส แลคโตะ' เติบโตทั้งส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ที่ขยายตัวโดดเด่นเป็นตัวเลขสองหลัก ส่วนแบรนด์ ‘ซี-วิท’ ครองตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศมีรายได้เติบโตแข็งแกร่งเป็นตัวเลขสองหลักจากเมียนมาร์และลาว ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีอัตราเติบโตได้ดีจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั้งแบรนด์ ‘ทเวลฟ์ พลัส’ และแบรนด์ ‘เอ็กซิท’ ซึ่งแบรนด์ ทเวลฟ์ พลัส ก้าวเป็นผู้นำอันดับ 2 ของตลาด ขณะที่แบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สบู่อาบน้ำและแป้งเด็ก ชูแคมเปญการตลาด “The Power of Gentle Touch พลังสัมผัสอันอ่อนโยน สานสัมพันธ์ให้แข็งแรง” ปรับสูตรใหม่ออร์แกนิก 100% และเปลี่ยนใช้บรรจุภัณฑ์ปลอดภัยและดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งโอสถสภาได้รับการประเมินเป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับ AA และรางวัล CGR (Corporate Government Report) 5 ดาวประจำปี 2566 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร
สำหรับกำไรสุทธิสำหรับปีอยู่ที่ 2,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานปกติ หากไม่นับรวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและปันผลจากเงินลงทุนอยู่ที่ 2,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน สะท้อนความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 34.5% ขยายตัว 3.9% จากปีก่อน และแตะระดับสูงสุดในไตรมาส 4 ที่ 35.5% โดยกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 ในอัตรา 1.65 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 4,956 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 206% โดยแบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลพิเศษ 0.80 บาทต่อหุ้น เงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น เงินปันผลที่ต้องจ่ายจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังอีก 0.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ต่อไป ทั้งนี้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ร้อยละ 7.9 (คำนวณจากราคาหุ้น ณ วันที่ 31 มกราคม 2567)
ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ โอสถสภาจะยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตตามแผนยุทธศาสตร์และก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ด้วยการพัฒนาและปฏิรูปองค์กรอย่างไม่หยุดยั้ง มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตผ่านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่คำนึงถึงผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้บริโภคอันเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโอสถสภา ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กร รวมถึงการพัฒนาองค์กรอย่างความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และดำเนินกลยุทธ์มองหาโอกาสการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ผลักดันผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น และมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นพลังเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 26,062 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส จากการดำเนินกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ควบคู่การสื่อสารการตลาดที่สร้างความแตกต่างผ่านโครงการเอ็ม-150 ซุปเปอร์สตาร์ ทำให้แบรนด์ ‘เอ็ม-150’ เป็นผู้นำตลาดที่ครองใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง พร้อมแรงสนับสนุนจากแบรนด์ ลิโพที่เติบโตโดดเด่นในปีนี้ ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ฟังก์ชันนัลดริงก์ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมนำเสนอคุณประโยชน์ใหม่ๆ รวมถึงการใช้ช่องทางการสื่อสารที่สอดรับกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ผลักดันให้แบรนด์ ‘เปปทีน’ และ ‘คาลพิส แลคโตะ' เติบโตทั้งส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ที่ขยายตัวโดดเด่นเป็นตัวเลขสองหลัก ส่วนแบรนด์ ‘ซี-วิท’ ครองตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศมีรายได้เติบโตแข็งแกร่งเป็นตัวเลขสองหลักจากเมียนมาร์และลาว ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีอัตราเติบโตได้ดีจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั้งแบรนด์ ‘ทเวลฟ์ พลัส’ และแบรนด์ ‘เอ็กซิท’ ซึ่งแบรนด์ ทเวลฟ์ พลัส ก้าวเป็นผู้นำอันดับ 2 ของตลาด ขณะที่แบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สบู่อาบน้ำและแป้งเด็ก ชูแคมเปญการตลาด “The Power of Gentle Touch พลังสัมผัสอันอ่อนโยน สานสัมพันธ์ให้แข็งแรง” ปรับสูตรใหม่ออร์แกนิก 100% และเปลี่ยนใช้บรรจุภัณฑ์ปลอดภัยและดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งโอสถสภาได้รับการประเมินเป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับ AA และรางวัล CGR (Corporate Government Report) 5 ดาวประจำปี 2566 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร
สำหรับกำไรสุทธิสำหรับปีอยู่ที่ 2,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานปกติ หากไม่นับรวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและปันผลจากเงินลงทุนอยู่ที่ 2,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน สะท้อนความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 34.5% ขยายตัว 3.9% จากปีก่อน และแตะระดับสูงสุดในไตรมาส 4 ที่ 35.5% โดยกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 ในอัตรา 1.65 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 4,956 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 206% โดยแบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลพิเศษ 0.80 บาทต่อหุ้น เงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น เงินปันผลที่ต้องจ่ายจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังอีก 0.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ต่อไป ทั้งนี้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ร้อยละ 7.9 (คำนวณจากราคาหุ้น ณ วันที่ 31 มกราคม 2567)
ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ โอสถสภาจะยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตตามแผนยุทธศาสตร์และก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ด้วยการพัฒนาและปฏิรูปองค์กรอย่างไม่หยุดยั้ง มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตผ่านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่คำนึงถึงผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้บริโภคอันเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโอสถสภา ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กร รวมถึงการพัฒนาองค์กรอย่างความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และดำเนินกลยุทธ์มองหาโอกาสการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ผลักดันผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น และมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นพลังเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย