บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA ประกาศแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการเติบโตปี 2567 โชว์ศักยภาพความแข็งแกร่ง 4 กลุ่มธุรกิจภายใต้ MGC-ASIA Ecosystem ขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ สร้าง New S-curve รับเมกะเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าเติบโต ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทในเครือกลุ่ม ปตท. ตั้งบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เชื่อมโยงระบบนิเวศทางธุรกิจระหว่างกันผ่านการ Synergy ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า MGC-ASIA เป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ‘มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง’ กลุ่มบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ ‘MGC-ASIA Ecosystem’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านการขยายฐานสินค้าและสร้างบริการใหม่ พร้อมแสวงหาโอกาสในการสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นแนวหน้าในหลากหลายกลุ่ม เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
ล่าสุด บริษัท เอ็มจีซี-เอเชีย กรีนเทค จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับกลุ่มอรุณ พลัส ซึ่งเป็นบริษัท EV Flagship ดำเนินธุรกิจ EV Value Chain แบบครบวงจร ที่กลุ่ม ปตท. ถือหุ้น 100% ตั้งบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ครอบคลุม 1) ธุรกิจจัดจำหน่าย การตลาด ตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายแบบครบวงจร 2) ธุรกิจผลิตยานยนต์ รวมทั้งโอกาสการลงทุนในโรงงานผลิตรถยนต์ 3) ธุรกิจจัดการขยะแบตเตอรี (Battery waste management) และโอกาสการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี (Battery recycling factory) 4) ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ EVme เพื่อเป็นช่องทางการทำการตลาด และการให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกมิติ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
“การร่วมมือระหว่างกลุ่ม MGC-ASIA กับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทในเครือกลุ่ม ปตท. นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะช่วยรองรับการเปลี่ยนผ่านจากยุคของยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง ไปสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า โดยการนำ Ecosystem ที่แข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มมาประสานรวมกัน เพื่อสร้างการเติบโตแบบ Synergy ผนักดันให้เกิด New S-curve จากการมีสินค้าและบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจของกันและให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นกลุ่มผู้นำในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตทั่วโลก” ดร.สัณหวุฒิ กล่าว
สำหรับปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตโดดเด่นทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์ขับเคลื่อนแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 1) กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) กลุ่มบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตให้กลุ่มธุกิจ นอกจากนี้กลุ่ม Marine Business ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง โดยมีรายได้ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้าง Marine Business Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ผ่านการรักษาฐานลูกค้าเก่า ขยายฐานลูกค้าใหม่ นำเสนอบริการที่ครอบคลุม รวมทั้งขยายฐานบริการอย่างเต็มรูปแบบ โดยกลุ่มบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ Azimut Yachts S7 ที่ Ocean Marina Pattaya และ Chris-Craft รุ่นใหม่ ที่โครงการ Riverdale Marina ปทุมธานี
2) ธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) สัดส่วนรายได้จากบริการหลังการขายมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากความไว้วางใจของลูกค้า โดยในปี 2566 มีจำนวนการเข้าใช้บริการ 201,051 ครั้ง เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และรายได้ต่อการบริการต่อครั้งเพิ่มขึ้นจาก 17,926 บาท เป็น 18,195 บาท นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกอย่าง Tesla ให้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) พร้อมมีแผนขยายสาขาเพื่อรองรับการเติบโตยานยนต์ไฟฟ้า
3) ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และพนักงานขับรถ (Car Rental and Driver Services)ปี 2566 จำนวนรถให้เช่าระยะสั้น ภายใต้แบรนด์ ‘SIXT’ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยเฉพาะการเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม รองรับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 รายได้รถเช่า SIXT เติบโตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านรถเช่าระยะยาวในปี 2566 จำนวนรถให้เช่าเติบโต 20% ทำให้ภาพรวม บจก. มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล มีรายได้รวมประมาณ 1,400 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 นอกจากนี้ภายในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังกลุ่มรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ให้เช่า (Commercial Vehicle Rental) เพื่อให้บริการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
4) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 84% โดยฐานลูกค้ากลุ่ม High net worth มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเสนอผลิตภัณฑ์ Yacht Financing และ Wealth Lending เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร โดยในปี 2567 บริษัทฯ วางเป้าหมายรับรู้ผลกำไรสุทธิเป็นปีแรก จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการในลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง
ขณะที่ บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัยชั้นแนวหน้า ปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566 มีรายได้ 331 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 289 ล้านบาท โดยเติบโตจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่แก่กลุ่มลูกค้าเดิม รักษาอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ที่เพิ่มมากขึ้น และขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมกำหนดวางกลยุธท์การเติบโต
ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ความเสี่ยงทางไซเบอร์, เครดิตการค้า, บริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล รวมทั้งการรองรับแนวโน้มด้าน ESG ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญในการให้ความรู้ และให้คำปรึกษาความเสี่ยงด้านสภาพอาหาศ การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และประกันภัยคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ในอนาคต
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า MGC-ASIA เป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ‘มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง’ กลุ่มบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ ‘MGC-ASIA Ecosystem’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านการขยายฐานสินค้าและสร้างบริการใหม่ พร้อมแสวงหาโอกาสในการสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นแนวหน้าในหลากหลายกลุ่ม เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
ล่าสุด บริษัท เอ็มจีซี-เอเชีย กรีนเทค จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับกลุ่มอรุณ พลัส ซึ่งเป็นบริษัท EV Flagship ดำเนินธุรกิจ EV Value Chain แบบครบวงจร ที่กลุ่ม ปตท. ถือหุ้น 100% ตั้งบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ครอบคลุม 1) ธุรกิจจัดจำหน่าย การตลาด ตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายแบบครบวงจร 2) ธุรกิจผลิตยานยนต์ รวมทั้งโอกาสการลงทุนในโรงงานผลิตรถยนต์ 3) ธุรกิจจัดการขยะแบตเตอรี (Battery waste management) และโอกาสการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี (Battery recycling factory) 4) ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ EVme เพื่อเป็นช่องทางการทำการตลาด และการให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกมิติ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
“การร่วมมือระหว่างกลุ่ม MGC-ASIA กับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทในเครือกลุ่ม ปตท. นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะช่วยรองรับการเปลี่ยนผ่านจากยุคของยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง ไปสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า โดยการนำ Ecosystem ที่แข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มมาประสานรวมกัน เพื่อสร้างการเติบโตแบบ Synergy ผนักดันให้เกิด New S-curve จากการมีสินค้าและบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจของกันและให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นกลุ่มผู้นำในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตทั่วโลก” ดร.สัณหวุฒิ กล่าว
สำหรับปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตโดดเด่นทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์ขับเคลื่อนแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 1) กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) กลุ่มบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตให้กลุ่มธุกิจ นอกจากนี้กลุ่ม Marine Business ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง โดยมีรายได้ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้าง Marine Business Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ผ่านการรักษาฐานลูกค้าเก่า ขยายฐานลูกค้าใหม่ นำเสนอบริการที่ครอบคลุม รวมทั้งขยายฐานบริการอย่างเต็มรูปแบบ โดยกลุ่มบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ Azimut Yachts S7 ที่ Ocean Marina Pattaya และ Chris-Craft รุ่นใหม่ ที่โครงการ Riverdale Marina ปทุมธานี
2) ธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) สัดส่วนรายได้จากบริการหลังการขายมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากความไว้วางใจของลูกค้า โดยในปี 2566 มีจำนวนการเข้าใช้บริการ 201,051 ครั้ง เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และรายได้ต่อการบริการต่อครั้งเพิ่มขึ้นจาก 17,926 บาท เป็น 18,195 บาท นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกอย่าง Tesla ให้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) พร้อมมีแผนขยายสาขาเพื่อรองรับการเติบโตยานยนต์ไฟฟ้า
3) ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และพนักงานขับรถ (Car Rental and Driver Services)ปี 2566 จำนวนรถให้เช่าระยะสั้น ภายใต้แบรนด์ ‘SIXT’ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยเฉพาะการเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม รองรับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 รายได้รถเช่า SIXT เติบโตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านรถเช่าระยะยาวในปี 2566 จำนวนรถให้เช่าเติบโต 20% ทำให้ภาพรวม บจก. มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล มีรายได้รวมประมาณ 1,400 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 นอกจากนี้ภายในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังกลุ่มรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ให้เช่า (Commercial Vehicle Rental) เพื่อให้บริการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
4) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 84% โดยฐานลูกค้ากลุ่ม High net worth มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเสนอผลิตภัณฑ์ Yacht Financing และ Wealth Lending เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร โดยในปี 2567 บริษัทฯ วางเป้าหมายรับรู้ผลกำไรสุทธิเป็นปีแรก จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการในลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง
ขณะที่ บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัยชั้นแนวหน้า ปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566 มีรายได้ 331 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 289 ล้านบาท โดยเติบโตจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่แก่กลุ่มลูกค้าเดิม รักษาอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ที่เพิ่มมากขึ้น และขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมกำหนดวางกลยุธท์การเติบโต
ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ความเสี่ยงทางไซเบอร์, เครดิตการค้า, บริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล รวมทั้งการรองรับแนวโน้มด้าน ESG ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญในการให้ความรู้ และให้คำปรึกษาความเสี่ยงด้านสภาพอาหาศ การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และประกันภัยคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ในอนาคต