ปีนี้นับเป็นปีทองในธุรกิจยางพาราและน้ำมันปาล์ม หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวกระตุ้นความต้องการใช้ ดันผลงาน บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เติบโตทำสถิติใหม่
ความต้องการใช้ราคายางพาราปีนี้แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในตลาดยุโรปแลสหรัฐอเมริกา รวมทั้งกระแสการผลิตรถยนต์EV ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั่วโลก สนับสนุนผลงาน บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) ที่ยังมีจุดแข็งจากการเป็นบริษัทที่มีความพร้อมรองรับ การบังคับใช้กฏหมาย EUDR ของกลุ่มประเทศในยุโรป ซึ่งส่งผลดีกับผลงานปีนี้
โดยนางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH มั่นใจปี 67 กลุ่มบริษัทฯ มีแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแท่งมีโอกาสที่ยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20% และราคายางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น โดยที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ TEGH มียอดการผลิตและจำหน่ายยางแท่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งในปี 66 มียอดขายยางแท่ง 197,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 65 ที่ 5,700 ตัน คิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณ 3%
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ มีแนวโน้มที่ดีหลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิต ซ่อมบำรุงเครื่องจักร ติดตั้งหม้อต้มไอน้ำ (Boiler) ลูกใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และจะติดตั้งหม้อนึ่งปาล์ม (Sterilizer) เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2569 ด้านธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ จะรับรู้รายได้จากการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพเฟสที่ 1 ได้ภายในไตรมาสแรก และคาดว่าเริ่ม COD โครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพเฟสที่ 2 ได้ในปีนี้
"TEGH มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง และในปี 67 บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เติบโต สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุน ควบคู่กับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทาง (Carbon Neutrality) ในปี 2573" นางสาวสินีนุช กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 66 บริษัทฯ มีรายได้ 12,143 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ จำนวน 12,143 ล้านบาท เป็นรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ จำนวน 10,093 ล้านบาท, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 1,907 ล้านบาท และธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ จำนวน 133 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้มีผลการดำเนินงานในระดับที่ดี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางล้อ ทำให้ราคายางขายยางแท่งปรับตัวดีขึ้น ความต้องการสินค้าจากยุโรปและจีนกลับมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 รวมถึงมีการขยายตลาดไปยังประเทศอินเดียได้มากขึ้น อีกทั้งเรายังได้รับผลเชิงบวกจากการบังคับใช้กฏหมาย EUDR เนื่องจากเรามีการเตรียมความพร้อม และลูกค้าให้ความสนใจขอเจรจาทำสัญญาซื้อขายยางแท่งเกรด EUDR แล้วทั้งในโซนยุโรปและเอเซีย ซึ่งจะเริ่มส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลังของปี 67 นี้
ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า กำไร 4Q66 อยู่ที่ 69 ล้านบาท ดีขี้น 70%QoQ แต่ยังอ่อนตัว 58%YoY โดยการปรับตัวดีขึ้นหลักๆ มาจาก Fx Gain แต่ EBIT ยังอ่อนตัว 37%QoQ แนวโน้มธุรกิจยางและพลังงานทดแทนดีขึ้น แต่ธุรกิจปาลม์ยังอ่อนตัว
โดยปี 67 คาดแนวโน้มค่อนข้างสดใส หลังราคายางในช่วงต้นปียังดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่มีสัญญาเตรียมส่งมอบ Biogas ในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านธุรกิจปาลม์ คาดจะเริ่มฟื้นกลับมาเป็นกำไรได้บ้าง หลังมีการปรับปรุงเครื่องจักร
ดังนั้นจึงคงราคาเป้าหมาย 3.8 บาท แม้จะเห็นราคาหุ้นฟื้นตัวจากช่วงปลายปีก่อน แต่ยังมี Upside จึงคงคำแนะนํา “ซื้อ”