จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : “ต้นทุนน้ำมันลด - อุตฯก่อสร้างฟื้น” ดันผลงาน MENA ปี 67 โตต่อเนื่อง
07 มีนาคม 2567
ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ลดต้นทุนอุตสาหกรรมการขนส่ง หนุนผลงาน บมจ.มีนา ทรานสปอร์ต (MENA) ปี 67 เติบโตต่อเนื่องแข็งแกร่ง ขณะที่บริษัทฯเตรียมงบลงทุนประมาณ 130 ล้านบาท ขยาย Fleet รถ 50 คัน
ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง หลังนักลงทุนกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ต้นทุนจากราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญในธุรกิจขนส่งปรับลดลง ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ บมจ.มีนา ทรานสปอร์ต (MENA)
ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “สุวรรณา ขจรวุฒิเดช” กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2567 ของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปี 2566 ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการรถมิกเซอร์ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัวขานรับการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล จากต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก บริษัท ทีดี เอ็ม ลอจิสติกส์ จำกัด (TDM)
นอกจากนี้ในครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทฯเตรียมงบลงทุน ประมาณ 130 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยาย Fleet รถประมาณ 50 คัน แบ่งเป็นรถ Mixer ประมาณ 40 คัน รถเทรลเลอร์ ประมาณ 10 คัน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถ โดยเฉพาะรถที่เพิ่มในระหว่างปี 2566 กว่า 100 คัน ให้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้ามีรถพร้อมให้บริการอยู่ที่ 830 คันภายในกลางปี 2567 ทำให้บริษัทฯ มั่นใจรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15%
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดปี 2566 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 776 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 697 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11%
โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 135 ล้านบาท หรือเติบโต 17% ซึ่งปัจจัยที่ผลักดันให้กำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับอานิสงส์จากการขนส่งสินค้าทุกประเภททั้งซีเมนต์ คอนกรีต สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเฉพาะทาง และสินค้าควบคุมอุณหภูมิขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการขยายงานของบริษัทฯ ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
จากผลการดำเนินงานปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินปันผลประมาณ 22 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 โดยการใช้สิทธิดังกล่าวต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เมษายน 2567 นี้
"ปี 2566 ที่ผ่านมาเป็นปีที่บริษัทฯ รุกขยายธุรกิจอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการร่วมมือกับกลุ่มคาราบาว ในการจัดตั้ง TDM และการขยาย Fleet รถกว่า 100 คัน เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการภาครัฐ และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งถือว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนที่ตั้งเป้าหมายไว้ จึงส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น และเชื่อว่าในปีนี้ภาพรวมธุรกิจจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยบริษัทฯ ยังคงมองหาพันธมิตรใหม่ๆ เพิ่มเพิ่มศักยภาพและต่อยอดธุรกิจหลักให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น" นางสุวรรณา กล่าว
ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง หลังนักลงทุนกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ต้นทุนจากราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญในธุรกิจขนส่งปรับลดลง ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ บมจ.มีนา ทรานสปอร์ต (MENA)
ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “สุวรรณา ขจรวุฒิเดช” กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2567 ของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปี 2566 ทั้งในส่วนของรายได้และกำไร เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการรถมิกเซอร์ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัวขานรับการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล จากต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก บริษัท ทีดี เอ็ม ลอจิสติกส์ จำกัด (TDM)
นอกจากนี้ในครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทฯเตรียมงบลงทุน ประมาณ 130 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยาย Fleet รถประมาณ 50 คัน แบ่งเป็นรถ Mixer ประมาณ 40 คัน รถเทรลเลอร์ ประมาณ 10 คัน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถ โดยเฉพาะรถที่เพิ่มในระหว่างปี 2566 กว่า 100 คัน ให้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้ามีรถพร้อมให้บริการอยู่ที่ 830 คันภายในกลางปี 2567 ทำให้บริษัทฯ มั่นใจรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15%
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดปี 2566 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 776 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 697 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11%
โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 135 ล้านบาท หรือเติบโต 17% ซึ่งปัจจัยที่ผลักดันให้กำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับอานิสงส์จากการขนส่งสินค้าทุกประเภททั้งซีเมนต์ คอนกรีต สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเฉพาะทาง และสินค้าควบคุมอุณหภูมิขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการขยายงานของบริษัทฯ ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
จากผลการดำเนินงานปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินปันผลประมาณ 22 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 โดยการใช้สิทธิดังกล่าวต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เมษายน 2567 นี้
"ปี 2566 ที่ผ่านมาเป็นปีที่บริษัทฯ รุกขยายธุรกิจอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการร่วมมือกับกลุ่มคาราบาว ในการจัดตั้ง TDM และการขยาย Fleet รถกว่า 100 คัน เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการภาครัฐ และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งถือว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนที่ตั้งเป้าหมายไว้ จึงส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น และเชื่อว่าในปีนี้ภาพรวมธุรกิจจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยบริษัทฯ ยังคงมองหาพันธมิตรใหม่ๆ เพิ่มเพิ่มศักยภาพและต่อยอดธุรกิจหลักให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น" นางสุวรรณา กล่าว