บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2566 มียอดขายรวม 200,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่ต้นทุนขาย เพิ่มขึ้น 0.5% ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 13.4% ทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลง 10.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน พบกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจการเงิน เป็น 3 กลุ่มอุตสาหกรรรมที่มีผลการดำเนินงานเติบโตทั้งยอดขายและกำไร
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 207 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 215 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยปี 2566 มี บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 148 บริษัท คิดเป็น 72% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ของ บจ. mai เปรียบเทียบกับปีก่อน มียอดขายรวม 200,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% ต้นทุนขาย 147,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นจาก 24.9% มาอยู่ที่ 26.1% อย่างไรก็ดี การที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น 13.4% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 12,186 ล้านบาท ลดลง 10.2% และมีกำไรสุทธิรวม 5,901 ล้านบาท ลดลง 35.1%
“ปี 2566 บจ. กว่ากึ่งหนึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการเปิดประเทศ แต่จากการปรับขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อัตราการทำกำไรของ บจ. ลดลง ทั้งนี้มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจการเงิน” นายประพันธ์กล่าว
ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 339,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.11% จากสิ้นปี 2565 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2565 ที่เท่ากับ 0.81 เท่า
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 215 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 409.80 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 414,235.76 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 2,017 ล้านบาทต่อวัน
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 207 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 215 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยปี 2566 มี บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 148 บริษัท คิดเป็น 72% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ของ บจ. mai เปรียบเทียบกับปีก่อน มียอดขายรวม 200,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% ต้นทุนขาย 147,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้นจาก 24.9% มาอยู่ที่ 26.1% อย่างไรก็ดี การที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น 13.4% ส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 12,186 ล้านบาท ลดลง 10.2% และมีกำไรสุทธิรวม 5,901 ล้านบาท ลดลง 35.1%
“ปี 2566 บจ. กว่ากึ่งหนึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการเปิดประเทศ แต่จากการปรับขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้อัตราการทำกำไรของ บจ. ลดลง ทั้งนี้มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจการเงิน” นายประพันธ์กล่าว
ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 339,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.11% จากสิ้นปี 2565 โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.79 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2565 ที่เท่ากับ 0.81 เท่า
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 215 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 409.80 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 414,235.76 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 2,017 ล้านบาทต่อวัน