EPG คาดปีบัญชี 65/66 (เม.ย.65 – มี.ค.66) ยอดขายเติบโต 5% ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปีบัญชี 65/66 (เม.ย.-ธ.ค.65) มียอดขาย 9,100 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 828 ล้านบาท
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดขายปีบัญชี 65/66 (เม.ย.65 – มี.ค.66) เติบโตประมาณ 5% และ อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้น 30 - 33% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมีบางประเภทปรับตัวลดลง และ ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทยอยปรับตัวลดลง
แม้ว่าในไตรมาส 3 ปีบัญชี 65/66 (ต.ค.-ธ.ค.65) บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลต่อการดำเนินงานทำให้บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,006 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปี มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34.5% และมีกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ 213 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 47.1% ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 65/66 (เม.ย.-ธ.ค.65) บริษัทมีรายได้จากการขาย 9,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.9% และมีกำไรสุทธิ 828 ล้านบาท ลดลง 34.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ปีบัญชี 65/66 (ม.ค. - มี.ค.66) ยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าฉนวนยางที่มีคุณภาพสูง ซึ่งผ่านมาตรฐานการรับรองความปลอดภัย และจากการขยายตลาดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ Air Ducting system ช่วยผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้ง มีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตและการลงทุนเอกชนที่ยังขยายตัวในสหรัฐอเมริกา ส่วนยอดขายในญี่ปุ่น และยุโรป ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยอดขายในประเทศทยอยฟื้นตัว คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากกลุ่มอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้กลุ่ม Aeroklas ยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อสินค้าหลัก เช่น พื้นปูกระบะ (Bed liner) บันไดข้างรถกระบะ (Sidesteps) และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของรถกระบะ และ SUV
สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียประสบปัญหาการส่งมอบยานยนต์ในออสเตรเลียล่าช้า เนื่องจากการสุ่มตรวจยานยนต์นำเข้ามีความเข้มงวด ส่งผลให้ยานยนต์คงค้างอยู่ที่ท่าเรือของออสเตรเลียกว่า 60,000 คัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจในออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในเดือนมีนาคม 2566 บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจ โดยเร่งให้เกิด synergy ในกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นจากการปรับกลยุทธ์ใหม่ และ การขยายตลาดให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม ประกอบกับ EPP ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก GMP/ HACCP และ The British Retail Consortium (BRC) อีกทั้ง กิจกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศเริ่มกลับมาดำเนินงานเป็นปกติแล้ว จึงซึ่งส่งผลบวกต่อ EPP และคาดว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้นมากในปีบัญชี 66/67 (เม.ย.66 – มี.ค.67)
สำหรับบริษัทร่วมและการร่วมค้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมฉนวนกันความร้อน/เย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและหลากหลายขึ้น
นอกจากนี้บริษัทย่อยทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด/ บริษัท แอร์โรคลาส จำกัด และ บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด ดำเนินการติดตั้ง Solar Roof top เสร็จสิ้นแล้ว มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 18 MW สามารถดูดกลับก๊าซเรือนกระจกประมาณ 13,500 ton Co2eq และ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าประมาณ 70 ล้านบาทต่อปี รศ.ดร.เฉลียว กล่าว
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดขายปีบัญชี 65/66 (เม.ย.65 – มี.ค.66) เติบโตประมาณ 5% และ อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้น 30 - 33% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมีบางประเภทปรับตัวลดลง และ ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทยอยปรับตัวลดลง
แม้ว่าในไตรมาส 3 ปีบัญชี 65/66 (ต.ค.-ธ.ค.65) บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลต่อการดำเนินงานทำให้บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,006 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปี มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34.5% และมีกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ 213 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 47.1% ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 65/66 (เม.ย.-ธ.ค.65) บริษัทมีรายได้จากการขาย 9,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.9% และมีกำไรสุทธิ 828 ล้านบาท ลดลง 34.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ปีบัญชี 65/66 (ม.ค. - มี.ค.66) ยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าฉนวนยางที่มีคุณภาพสูง ซึ่งผ่านมาตรฐานการรับรองความปลอดภัย และจากการขยายตลาดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ Air Ducting system ช่วยผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้ง มีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตและการลงทุนเอกชนที่ยังขยายตัวในสหรัฐอเมริกา ส่วนยอดขายในญี่ปุ่น และยุโรป ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยอดขายในประเทศทยอยฟื้นตัว คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากกลุ่มอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้กลุ่ม Aeroklas ยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อสินค้าหลัก เช่น พื้นปูกระบะ (Bed liner) บันไดข้างรถกระบะ (Sidesteps) และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของรถกระบะ และ SUV
สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียประสบปัญหาการส่งมอบยานยนต์ในออสเตรเลียล่าช้า เนื่องจากการสุ่มตรวจยานยนต์นำเข้ามีความเข้มงวด ส่งผลให้ยานยนต์คงค้างอยู่ที่ท่าเรือของออสเตรเลียกว่า 60,000 คัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจในออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในเดือนมีนาคม 2566 บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจ โดยเร่งให้เกิด synergy ในกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นจากการปรับกลยุทธ์ใหม่ และ การขยายตลาดให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม ประกอบกับ EPP ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก GMP/ HACCP และ The British Retail Consortium (BRC) อีกทั้ง กิจกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศเริ่มกลับมาดำเนินงานเป็นปกติแล้ว จึงซึ่งส่งผลบวกต่อ EPP และคาดว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้นมากในปีบัญชี 66/67 (เม.ย.66 – มี.ค.67)
สำหรับบริษัทร่วมและการร่วมค้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมฉนวนกันความร้อน/เย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและหลากหลายขึ้น
นอกจากนี้บริษัทย่อยทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด/ บริษัท แอร์โรคลาส จำกัด และ บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด ดำเนินการติดตั้ง Solar Roof top เสร็จสิ้นแล้ว มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 18 MW สามารถดูดกลับก๊าซเรือนกระจกประมาณ 13,500 ton Co2eq และ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าประมาณ 70 ล้านบาทต่อปี รศ.ดร.เฉลียว กล่าว