'บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)' หรือ NEO ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศไทย โชว์ผลการดำเนินงานปี 2566 ทำกำไรสุทธิ 840 ล้านบาท เติบโต 47.6% จากปีก่อนหน้า และมีรายได้จากการขายรวม 9,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% จากปีก่อนหน้า โชว์ความสำเร็จทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เติบโตแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ ตอกย้ำจุดเด่นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล เผยแผนปี 2567 มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการวิจัยตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ" หรือ "NEO") เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จมีรายได้จากการขายรวม 9,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% และกำไรสุทธิ 840 ล้านบาท เติบโต 47.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเติบโตมาจากสินค้าหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม โรลออน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ หลายรายการ ในทุกช่องทางการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอกย้ำการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ของบริษัทฯ ที่มีคุณภาพและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคุณภาพระดับสากล จึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง (Brand Loyalty)
ขณะที่กำไรขั้นต้นปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 4,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3,134 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 28.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้จากการขาย จากต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวลง ทั้งนี้ รายได้จากการขายภายในประเทศอยู่ที่ 8,238 ล้านบาท เติบโต 15.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) มีรายได้จากการขายในประเทศ 3,679 ล้านบาท เติบโต 22.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการวางกลยุทธ์เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำในประเทศต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) มีรายได้จากการขายในประเทศ 2,252 ล้านบาท เติบโต 10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากยอดขายผลิตภัณฑ์โรลออนเป็นหลัก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) มีรายได้จากการขายในประเทศ 2,307 ล้านบาท เติบโต 9.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ส่วนตลาดต่างประเทศประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีรายได้จากการขายสินค้าทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ 1,246 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 7.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าอัตราการเติบโตของปี 2565 ซึ่งเท่ากับ 4.5% โดยประเทศส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products)
"ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและแตกต่างระดับสากล ควบคู่กับการวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์ โดยการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในสินค้าที่มีศักยภาพเติบโตสูงให้ใกล้เคียงกับผู้นำตลาด (Close Gap) ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม ให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นและ
มุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอหลากหลายเพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ รวมทั้งการบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผลักดันให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง" นายสุทธิเดช กล่าว
นายสุทธิเดช กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคปี 2567 มีแนวโน้มเริ่มขยายตัวดีขึ้นหลังจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวและกลับมาเติบโตมาอยู่ในระดับก่อนช่วงก่อน COVID-19 ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการต่างๆ เพื่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย อาทิ มาตรการลดค่าครองชีพ, Easy e-Receipt ฯลฯ และคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะส่งผลให้อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2567 จะมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่ยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก (Customer Insights) ผ่านการทำวิจัยตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากลและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งไม่หยุดนิ่งที่จะมองหาช่องว่างทางการตลาดเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ แตกต่างจากคู่แข่ง มากกว่าการเน้นกลยุทธ์ด้านราคาหรือโปรโมชัน ตลอดจนมุ่งสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ" หรือ "NEO") เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จมีรายได้จากการขายรวม 9,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% และกำไรสุทธิ 840 ล้านบาท เติบโต 47.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเติบโตมาจากสินค้าหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม โรลออน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ หลายรายการ ในทุกช่องทางการจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอกย้ำการนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ของบริษัทฯ ที่มีคุณภาพและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคุณภาพระดับสากล จึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง (Brand Loyalty)
ขณะที่กำไรขั้นต้นปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 4,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3,134 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 28.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้จากการขาย จากต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวลง ทั้งนี้ รายได้จากการขายภายในประเทศอยู่ที่ 8,238 ล้านบาท เติบโต 15.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) มีรายได้จากการขายในประเทศ 3,679 ล้านบาท เติบโต 22.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการวางกลยุทธ์เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำในประเทศต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) มีรายได้จากการขายในประเทศ 2,252 ล้านบาท เติบโต 10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากยอดขายผลิตภัณฑ์โรลออนเป็นหลัก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) มีรายได้จากการขายในประเทศ 2,307 ล้านบาท เติบโต 9.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ส่วนตลาดต่างประเทศประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีรายได้จากการขายสินค้าทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ 1,246 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 7.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าอัตราการเติบโตของปี 2565 ซึ่งเท่ากับ 4.5% โดยประเทศส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products)
"ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและแตกต่างระดับสากล ควบคู่กับการวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์ โดยการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในสินค้าที่มีศักยภาพเติบโตสูงให้ใกล้เคียงกับผู้นำตลาด (Close Gap) ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม ให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นและ
มุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอหลากหลายเพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ รวมทั้งการบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผลักดันให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง" นายสุทธิเดช กล่าว
นายสุทธิเดช กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคปี 2567 มีแนวโน้มเริ่มขยายตัวดีขึ้นหลังจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวและกลับมาเติบโตมาอยู่ในระดับก่อนช่วงก่อน COVID-19 ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการต่างๆ เพื่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย อาทิ มาตรการลดค่าครองชีพ, Easy e-Receipt ฯลฯ และคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะส่งผลให้อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2567 จะมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่ยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก (Customer Insights) ผ่านการทำวิจัยตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากลและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งไม่หยุดนิ่งที่จะมองหาช่องว่างทางการตลาดเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ แตกต่างจากคู่แข่ง มากกว่าการเน้นกลยุทธ์ด้านราคาหรือโปรโมชัน ตลอดจนมุ่งสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์