บล. คิงส์ฟอร์ด เปิดเผยในบทวิเคราะห์ประเมินดัชนี SET Index ทรงตัวในกรอบแนวรับ 1,380-1,375 แนวต้าน 1,400-1,405 ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าและ US Bond Yield ที่ปรับขึ้นเป็นปัจจัยกดดัน fund flow ก่อนการประชุม Fed ในสัปดาห์นี้
แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า+สภาพอากาศร้อน เช่น เกษตร อาหาร เครื่องดื่ม STA, NER, HTC, PLUS, SAPPE, TACC, XO และเก็งกำไร CK, STEC, GLOBAL (พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67) GPI, MGC (งาน Motor Show 2024) · TACC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.35 บาท) งวด 4Q66 รายงานกำไรสุทธิ
สำหรับหุ้นแนะนำได้แก่
• TACC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.35 บาท) งวด 4Q66 รายงานกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท +13%QoQ, +33%YoY หากตัดรายการด้วยค่าเงินลงทุน กำไรปกติดีกว่าที่ตลาดคาด ส่วนภาพรวมในปี 66 บริษัทมีรายได้รวม 1.7 พันล้านบาท +12%YoY และมีกำไรสุทธิ 207 ล้านบาท -12%YoY ทั้งนี้ในปี 67 คาดกำไรปกติจะฟื้นตัว โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ +10%YoY หนุนจากการเติบโตตาม 7-Eleven ทั้งในและต่างประเทศ การออกสินค้าใหม่ตามฤดูกาล และขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้ง B2B และ B2C ขณะที่ส่วนแบ่งขาดทุนจาก TCI (ธุรกิจกัญชง) จะหมดไปหลังทำรายการขายเสร็จ ซึ่งปกติมีผลขาดทุนอยู่ปีละ 10 ล้านบาท จากแนวโน้มที่ผ่านช่วงแย่ไปแล้ว รวมถึงการตัดขายธุรกิจไม่ทำกำไรออกไป จะทำให้ฐานะทางการเงินดีขึ้น ตลาดคาดกำไรปี 67-68 ที่ 231 ล้านบาท +12%YoY และ 253 ล้านบาท +10%YoY
• AMATA (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท) สำหรับภาพการดำเนินงานกลุ่มนิคมฯในปี67 เราคาดว่าจะยังมีแรงหนุนจากการตั้งฐานการผลิตกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย โดยทางผู้บริหารวางเป้าขายที่ดินปีนี้ที่ราวไม่เกิน 2,000 ไร่(จากปี66 1,854 ไร่) ส่วน backlog สิ้นปี 66 ยังแข็งแกร่งที่ 14,285 ลบ.(ไทย 1.2 หมื่นลบ. ที่เหลือเวียดนาม) ทั้งนี้ เบื้องต้น ทางฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรสุทธิของ AMATA ปี67 ที่ระดับ 2,006 ลบ.(+6%YoY) โดยนอกจากการขายที่ดินแล้ว คาดว่ารายได้ฝั่งสาธารณูปโภคจะแรงมีหนุนตามค่าFt และอากาศร้อน นอกจากนี้ AMATA ยังจะมี story จากการ Spinoff AMATA U (กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค) ในปีนี้