ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงท้ายปลายเดือนมีนาคม ความคาดหวังว่าดัชนีจะฟื้นขึ้นมาได้โดยรอปัจจัยสนับสนุนวินโดเดรสซิ่ง ก่อนปิดงวดไตรมาส1/2567
บล.เอเซียพลัสระบุว่า วานนี้ SET INDEX ปิดลบ 3.48 จุด อยู่ที่ระดับ 1382.46 จุด และมีมูลค่าซื้อขายสูงถึง 5.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าซื้อขายที่สูงเป็นอันดับ 6 ของปีนี้ และเป็นอันดับ 1 ของเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักมาจากมูลค่า BIGLOT ของ AWC-F ที่สูงถึง 1.79 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากนำมาหักออกจากมูลค่าซื้อขายของ SET จะทำให้มูลค่าซื้อ ขายที่แท้จริงอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งหากพิจารณาเป็นรายเดือน จะเห็นได้ว่าไตรมาส 1 ของปีนี้ เทียบกับไตรมาส 1 ของ ปีที่แล้ว SET มีมูลค่าซื้อขายที่เบาบางลงอย่างชัดเจน โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 4.2-4.5 หมื่นล้านบาท(คิดเป็นระดับ TURNOVER 61%-65%) ซึ่งช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมี มูลค่าซื้อขายที่ระดับ 5.8-6.8 หมื่นล้านบาท(คิดเป็นระดับ TURNOVER 72%-81%) ซึ่งปัจจัยที่ทำให้มูลค่าซื้อขายเบาบาง คาดว่าจะเป็น ในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยหนุนเข้ามาเสริมให้ SET คึกคัก ทั้งในมุมของนโยบาย การเงิน ที่ยังมีความเสี่ยงที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมจนถึงช่วงกลางปีนี้ และนโยบายการคลัง ที่ยังไม่มีแรงเบิกจ่าย ต้องรอจนกว่างบประมาณปี 67 จะ มีผลบังคับใช้ จึงทำให้ FLOW ต่างชาติยังคงไหลออกจากหุ้นไทยเรื่อยมา
- การปรับประมาณการลงของ GDP และ EPS โดย GDP GROWTH ปีนี้หลาย สำนักเศรษฐกิจปรับประมาณการ GDP ลงเป็นต่ำกว่า 3% ซึ่งถือว่าต่ำกว่า ระดับ GDP ของเพื่อนบ้านเรา(อาเซียน) ขณะที่ EPS67F ก็มีการทยอยปรับ ประมาณการลง หลังงบ 4Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 91.40 บาท/หุ้น
ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ SET INDEX ผันผวนในกรอบแคบ และเกิดการ SECTOR ROTATION ได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการหนุนหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็กกลับมา OUTPERFORM
สรุป ปัจจัยบวกไม่มี ปัจจัยลบที่ผ่านมาแล้ว ทำให้ SET INDEX ไม่ขึ้น-ลง อย่างมีนัยฯ โดยประเมินกรอบวันนี้ที่ระดับ 1379 –1390 จุด ขณะที่ FLOW ต่างชาติยังไม่มีทีท่าว่า จะไหลกลับเข้ามา จึงทำให้หุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก OUTPERFORM อาทิ กลุ่ม STEEL(SAM BSBM TSTH PERM INOX) AGRI(NER STA TRUBB) CONS(CNT PLE CIVIL TEAMG UNIQ) เป็นต้น
ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนพอร์ตลงทุนหุ้นของ “นิติ โอสถานุเคราะห์”ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีการถือครองหุ้น 9 บริษัท มีมูลค่าการถือครองรวมทั้งสิ้น 5.28 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
หุ้น | จำนวน(หุ้น) | มูลค่าถือครอง(บ.) |
---|---|---|
BKI | 2,224,362 | 698,449,668 |
CENTEL | 41,314,611 | 7,817,996,250 |
CPN | 83,234,500 | 5,285,390,750 |
HMPRO | 665,764,862 | 7,389,989,968 |
IRC | 2,838,000 | 36,894,000 |
MINT | 555,384,428 | 18,327,686,124 |
OSP | 723,097,300 | 14,823,494,650 |
WHA | 436,438,690 | 2,094,905,712 |
รวม | 58,251,335,395 |
จากข้อมูลดังกล่าวเมื่อนำไปหาข้อมูลเพิ่มเติมยังพบว่า หุ้นทุกตัวในพอร์ตของ“นิติ โอสถานุเคราะห์”จ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีหลังของปี 2566 ดังนี้
หุ้น | อัตราเงินปันผล(บ/หุ้น) |
---|---|
BKI | 5.5 |
CENTEL | 0.42 |
CPALL | 0.42 |
CPN | 1.8 |
HMPRO | 0.22 |
IRC | 0.4178 |
MINT | 0.32 |
OSP | 0.45 |
WHA | 0.117 |
ขณะเดียวกันหากนำไปหุ้นในพอร์ตไปเปรียบเทียบการถือครองในครั้งก่อน ซึ่งพบว่า มีหุ้น 5 บริษัทในพอร์ตลงทุนที่ปิดสมุดทะเบียนโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในเดือนมีนาคม 2567 ยังพบว่า “นิติ โอสถานุเคราะห์”ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นMINT ซึ่งหากย้อนหลังไปตั้งแต่ถือครองหุ้นในปี 2545 ในสัดส่วนจำนวน 11,941,100 หุ้น คิดเป็น 8.79% ล่าสุด ณ มีนาคม 2567 ถือหุ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 555,384,428 หุ้นคิดเป็น 9.80% และเป็นการถือครองสูงสุดตั้งแต่ถือครองหุ้นดังกล่าว
หุ้น | จำนวน มี.ค. 67(หุ้น) | จำนวนก่อนหน้า(หุ้น) |
---|---|---|
BKI | 2,224,362 | 2,224,362 |
CPALL | 138,986,600 | 138,986,600 |
IRC | 2,838,000 | 2,838,000 |
MINT | 555,384,428 | 537,090,652 |
WHA | 436,438,690 | 436,438,690 |