“ทรีนีตี้” ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไตรมาส 2 จะขึ้นอยู่กับเงื่อนเวลาของปัจจัยสำคัญ เช่น การใช้นโยบายการเงินทั่วโลกผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก การใช้นโยบายการคลังของไทย และพัฒนาการของตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆทั่วโลก ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะเริ่มเห็นสินทรัพย์ต่างๆ แกว่งตัวผันผวนมากขึ้น ส่วนทางด้านสภาพคล่องภายใน แม้จะยังไม่กลับมามากนัก แต่ประเมินผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมแจกคู่มือลงทุนหุ้นไตรมาส 2 ใช้กลยุทธ์ “Stock selection” คัด 5 ธีม 10 หุ้นลงทุนที่น่าสนใจลงทุน AOT, AWC, BH, BJC, STEC ,GLOBAL, STGT, XO, IVL และ SCGP ส่วนเมษาหน้าร้อนคัดหุ้น ICHI, SAPPE
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 โดยประเมินว่า SET Index ในไตรมาสนี้จะมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตามปัจจัยทางด้านดอกเบี้ยนโยบายที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งในแง่ของการลดดอกเบี้ยครั้งแรก และความคาดหวังของตลาด ที่สามารถปันแปรได้ตลอดทั้งไตรมาส ซึ่งในส่วนมุมมองของทาง “ทรีนีตี้” นั้น คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงแน่นอนในปีนี้ได้ราว 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 2.0% จึงได้มีการ Update สมมติฐานใหม่นี้เข้าไปใน Valuation Model เป็นผลทำให้ระดับ PE ที่เหมาะสมของ SET ในแต่ละกรณีขยายตัวได้ราว 6% มาอยู่ที่ 14.2x, 13.2x และ 12.3x ในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้ทำให้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมของเราถูกปรับขึ้น เนื่องจากในรอบนี้ เราได้ทำการปรับลดคาดการณ์ EPS ประจำปี 2025 ลงจากเดิมที่ 113 บาท เหลือเป็น 107 บาท เพื่อให้เข้าใกล้กับคาดการณ์ของ Consensus ณ ปัจจุบันมากขึ้น ส่งผลให้สุทธิแล้ว จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีจะอยู่ที่ 1520, 1415 และ1315 จุดในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ ซึ่งเป็นกรอบที่ใกล้เคียงกับที่เราให้ไว้ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา
“ การลดดอกเบี้ยของธปท.ที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 นี้ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่กำหนดทิศทางดัชนี SET รวมถึงการเคลื่อนไหวของ Sector ต่างๆได้ แต่การลดดอกเบี้ยที่ดีต่อภาพตลาดหุ้นไทย ควรจะต้องเป็นการลดดอกเบี้ยที่ไม่ได้สร้าง Surprise ให้กับตลาดมากนัก เพราะการลดแบบ Surprise อาจเป็นการชี้นำถึงความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ระดับที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น และยังเป็นการกดดัน Fund flow จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่จะกว้างขึ้นอีกครั้ง ไม่นับรวมกับการตีความโดยตลาดว่าการลดดอกเบี้ยนี้เกิดจากแรงกดดันจากทางภาคการเมือง ซึ่งในอดีตมักเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยชื่นชอบมากนัก” นายณัฐชาตกล่าว
สถิติในอดีตการปรับลดดอกเบี้ยของไทย 3 ครั้ง เมื่อ ปี 2007, 2011 และปี 2019 มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้ คือการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกของ Cycle นั้น นำมาสู่การปรับตัวขึ้นของ SET Index หลังจากนั้นจริง โดยเฉพาะหากไม่รวมปี 2019 ซึ่งมีผลกระทบของเหตุการณ์ Covid-19 เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งนี้ หากดูเป็นราย Sector จะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัวโดดเด่นในช่วงก่อนหน้าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะได้แก่ HELTH, COMM, ICT และ FOOD ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่ม Domestic play แทบทั้งสิ้น ในขณะที่กลุ่มที่มักจะปรับตัวได้ดีภายหลังจากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นแล้วจะได้แก่ COMM, HELTH, ETRON, ICT, TRANS ซึ่งจะเห็นได้ว่ามี Sector ที่คาบเกี่ยวกันอยู่แล้วสามารถปรับตัว Outperform ได้ทั้ง 2 ช่วงก็คือ COMM, HELTH และ ICT เราแนะนำให้นักลงทุนพยายามหาจังหวะสร้าง Exposure ไปยัง 3 Sector นี้เพื่อรองรับการเตรียมเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงในช่วงถัดไป
นายณัฐชาต กล่าวว่า ด้วยมุมมองภาพรวมของ SET Index ในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสที่จะแกว่งตัว Sideways ทำให้กลยุทธ์ Stock selection ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยคัดเลือกธีมการลงทุนที่น่าสนใจมาทั้งสิ้น 5 ธีม ดังต่อไปนี้ 1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยว เลือก AOT ที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออกที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีน และเลือก AWC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่มโรงแรม และเป็นตัวที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการขึ้นในตลาด 2.หุ้นที่อิงกับอุปสงค์ภาคบริการในประเทศ เนื่องจากอุปสงค์ในส่วนนี้ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เลือก BH เป็นตัวแทนของกลุ่มโรงพยาบาล และเลือก BJC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่ม Consumer staple 3.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงถัดไป หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ถูกบังคับใช้เป็นผลสำเร็จในช่วงต้นไตรมาส 2 นี้ เลือก STEC เป็นตัวแทนของกลุ่มรับเหมาฯ และ GLOBAL เป็นตัวแทนของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4. หุ้นกลุ่มส่งออกที่พบว่ามีสินค้าบางสินค้าที่ขยายตัวได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ถุงมือยางและเครื่องปรุงรสอาหาร STGT และ XO 5.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เลือก IVL และ SCGP เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนในระดับสูง
สำหรับการลงทุนในเดือนเมษายน 2567 คาดตลาดหุ้นจะจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อไป ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางจากเทศกาลหยุดยาว แต่จะมีปัจจัยชี้ชะตาที่สำคัญคือการประชุมกนง.ที่รออยู่ในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งถ้าหากมีการลดดอกเบี้ย ประเมินจะเป็นปัจจัยลบต่อ Fund flow ค่าเงินบาท รวมถึงดัชนี SET ได้ ผ่านการปรับตัวกว้างขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีเดือนนี้ที่ระดับ 1350-1410 จุด
กลยุทธ์ลงทุนเดือนเมษายน แนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมได้ต่อไป หลังจากที่ได้มีการเพิ่มน้ำหนักบางส่วนไปที่ระดับดัชนี SET 1370 จุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ อาทิ CK, STEC, GLOBAL DOHOME 2 .กลุ่ม Consumer staple ตามพัฒนาการของมาตรการ Digital Wallet อาทิ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มเครื่องดื่ม ตามสภาวะอากาศที่เข้าสู่ช่วงร้อนจัด ได้แก่ ICHI, SAPPE 4.กลุ่มส่งออกที่เห็นการขยายตัวดี ได้แก่ AAI, ITC, STGT, TU, XO
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 โดยประเมินว่า SET Index ในไตรมาสนี้จะมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตามปัจจัยทางด้านดอกเบี้ยนโยบายที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งในแง่ของการลดดอกเบี้ยครั้งแรก และความคาดหวังของตลาด ที่สามารถปันแปรได้ตลอดทั้งไตรมาส ซึ่งในส่วนมุมมองของทาง “ทรีนีตี้” นั้น คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงแน่นอนในปีนี้ได้ราว 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 2.0% จึงได้มีการ Update สมมติฐานใหม่นี้เข้าไปใน Valuation Model เป็นผลทำให้ระดับ PE ที่เหมาะสมของ SET ในแต่ละกรณีขยายตัวได้ราว 6% มาอยู่ที่ 14.2x, 13.2x และ 12.3x ในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้ทำให้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมของเราถูกปรับขึ้น เนื่องจากในรอบนี้ เราได้ทำการปรับลดคาดการณ์ EPS ประจำปี 2025 ลงจากเดิมที่ 113 บาท เหลือเป็น 107 บาท เพื่อให้เข้าใกล้กับคาดการณ์ของ Consensus ณ ปัจจุบันมากขึ้น ส่งผลให้สุทธิแล้ว จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีจะอยู่ที่ 1520, 1415 และ1315 จุดในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ ซึ่งเป็นกรอบที่ใกล้เคียงกับที่เราให้ไว้ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา
“ การลดดอกเบี้ยของธปท.ที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 นี้ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่กำหนดทิศทางดัชนี SET รวมถึงการเคลื่อนไหวของ Sector ต่างๆได้ แต่การลดดอกเบี้ยที่ดีต่อภาพตลาดหุ้นไทย ควรจะต้องเป็นการลดดอกเบี้ยที่ไม่ได้สร้าง Surprise ให้กับตลาดมากนัก เพราะการลดแบบ Surprise อาจเป็นการชี้นำถึงความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ระดับที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น และยังเป็นการกดดัน Fund flow จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่จะกว้างขึ้นอีกครั้ง ไม่นับรวมกับการตีความโดยตลาดว่าการลดดอกเบี้ยนี้เกิดจากแรงกดดันจากทางภาคการเมือง ซึ่งในอดีตมักเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยชื่นชอบมากนัก” นายณัฐชาตกล่าว
สถิติในอดีตการปรับลดดอกเบี้ยของไทย 3 ครั้ง เมื่อ ปี 2007, 2011 และปี 2019 มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้ คือการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกของ Cycle นั้น นำมาสู่การปรับตัวขึ้นของ SET Index หลังจากนั้นจริง โดยเฉพาะหากไม่รวมปี 2019 ซึ่งมีผลกระทบของเหตุการณ์ Covid-19 เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งนี้ หากดูเป็นราย Sector จะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัวโดดเด่นในช่วงก่อนหน้าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะได้แก่ HELTH, COMM, ICT และ FOOD ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่ม Domestic play แทบทั้งสิ้น ในขณะที่กลุ่มที่มักจะปรับตัวได้ดีภายหลังจากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นแล้วจะได้แก่ COMM, HELTH, ETRON, ICT, TRANS ซึ่งจะเห็นได้ว่ามี Sector ที่คาบเกี่ยวกันอยู่แล้วสามารถปรับตัว Outperform ได้ทั้ง 2 ช่วงก็คือ COMM, HELTH และ ICT เราแนะนำให้นักลงทุนพยายามหาจังหวะสร้าง Exposure ไปยัง 3 Sector นี้เพื่อรองรับการเตรียมเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงในช่วงถัดไป
นายณัฐชาต กล่าวว่า ด้วยมุมมองภาพรวมของ SET Index ในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสที่จะแกว่งตัว Sideways ทำให้กลยุทธ์ Stock selection ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยคัดเลือกธีมการลงทุนที่น่าสนใจมาทั้งสิ้น 5 ธีม ดังต่อไปนี้ 1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยว เลือก AOT ที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออกที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีน และเลือก AWC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่มโรงแรม และเป็นตัวที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการขึ้นในตลาด 2.หุ้นที่อิงกับอุปสงค์ภาคบริการในประเทศ เนื่องจากอุปสงค์ในส่วนนี้ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เลือก BH เป็นตัวแทนของกลุ่มโรงพยาบาล และเลือก BJC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่ม Consumer staple 3.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงถัดไป หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ถูกบังคับใช้เป็นผลสำเร็จในช่วงต้นไตรมาส 2 นี้ เลือก STEC เป็นตัวแทนของกลุ่มรับเหมาฯ และ GLOBAL เป็นตัวแทนของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4. หุ้นกลุ่มส่งออกที่พบว่ามีสินค้าบางสินค้าที่ขยายตัวได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ถุงมือยางและเครื่องปรุงรสอาหาร STGT และ XO 5.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เลือก IVL และ SCGP เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนในระดับสูง
สำหรับการลงทุนในเดือนเมษายน 2567 คาดตลาดหุ้นจะจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อไป ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางจากเทศกาลหยุดยาว แต่จะมีปัจจัยชี้ชะตาที่สำคัญคือการประชุมกนง.ที่รออยู่ในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งถ้าหากมีการลดดอกเบี้ย ประเมินจะเป็นปัจจัยลบต่อ Fund flow ค่าเงินบาท รวมถึงดัชนี SET ได้ ผ่านการปรับตัวกว้างขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีเดือนนี้ที่ระดับ 1350-1410 จุด
กลยุทธ์ลงทุนเดือนเมษายน แนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมได้ต่อไป หลังจากที่ได้มีการเพิ่มน้ำหนักบางส่วนไปที่ระดับดัชนี SET 1370 จุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ อาทิ CK, STEC, GLOBAL DOHOME 2 .กลุ่ม Consumer staple ตามพัฒนาการของมาตรการ Digital Wallet อาทิ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มเครื่องดื่ม ตามสภาวะอากาศที่เข้าสู่ช่วงร้อนจัด ได้แก่ ICHI, SAPPE 4.กลุ่มส่งออกที่เห็นการขยายตัวดี ได้แก่ AAI, ITC, STGT, TU, XO