Wealth Sharing
บอร์ด SAF เคาะจ่ายปันผลปี 65 ในอัตรา 0.035 บ./หุ้น ตั้งเป้าปี 66 โต 20-30% รับโอกาสศก.ขยายตัว
23 กุมภาพันธ์ 2566
บมจ. เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล หรือ SAF ผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลกและการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ โชว์ผลการดำเนินงานปี 2565 ทำรายได้จากการขายและบริการ 219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.42% และมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท ด้านบอร์ดฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.035 บาทต่อหุ้น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่และนำเสนอนวัตกรรมคุณภาพส่งเสริมศักยภาพการผลิตให้แก่ภาคอุตสาหกรรม สร้างการเติบโต 20-30% รับจังหวะเศรษฐกิจไทยขยายตัว
ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF ผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลกและการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยความสำเร็จมาจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของ SAF ที่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและบริการที่มีคุณภาพสูง จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพสูงจากบริษัทระดับโลกในประเทศเยอรมนี อาทิ DÖRRENBERG EDELSTAHL GmbH และ WILHELM OBERSTE-BEULMANN GmbH จึงตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจร รองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทางวิศวกรรมตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ยังคงได้รับปัจจัยเชิงบวกจากราคาจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสามารถรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ดี ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.035 บาทต่อหุ้นโดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 มีนาคม 2566 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566
ส่วนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ SAF ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเฉลี่ย 20-30% จากแผนเพิ่มฐานลูกค้ารายใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนลงทุนโครงการคลังสินค้าแห่งใหม่เพื่อเพิ่มความจุสินค้าจากเดิม 2,000 ตัน เพิ่มเป็น 4,000 ตัน เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองดีมานด์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงเพิ่มการให้บริการอบชุบจากระบบเตาชุบไนไตรดิ้งที่จะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมกันนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านต้นทุนเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดีอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF ผู้นำธุรกิจเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลกและการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยความสำเร็จมาจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของ SAF ที่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและบริการที่มีคุณภาพสูง จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพสูงจากบริษัทระดับโลกในประเทศเยอรมนี อาทิ DÖRRENBERG EDELSTAHL GmbH และ WILHELM OBERSTE-BEULMANN GmbH จึงตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจร รองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทางวิศวกรรมตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ยังคงได้รับปัจจัยเชิงบวกจากราคาจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสามารถรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ดี ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.035 บาทต่อหุ้นโดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 มีนาคม 2566 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566
ส่วนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ SAF ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเฉลี่ย 20-30% จากแผนเพิ่มฐานลูกค้ารายใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนลงทุนโครงการคลังสินค้าแห่งใหม่เพื่อเพิ่มความจุสินค้าจากเดิม 2,000 ตัน เพิ่มเป็น 4,000 ตัน เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองดีมานด์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงเพิ่มการให้บริการอบชุบจากระบบเตาชุบไนไตรดิ้งที่จะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมกันนี้ บริษัทฯ จะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านต้นทุนเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดีอย่างต่อเนื่องอีกด้วย