รายงานพิเศษ : รัฐกระตุ้นภาคอสังหาฯออก 5 มาตรการ หนุนยอดขายบ้าน PREB โตแกร่ง
รัฐบาลหนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออก 5 มาตรการกระตุ้นยอดขาย สนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน ทั้งการลดค่าธรรมเนียม และค่าจดทะเบียนโอน ขยายวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา ส่งผลดีต่อ บมจ.พรีบิลท์ (PREB)ในฐานะบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของอุตสาหกรรม
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นับเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็น ซึ่งยอดขายบ้านยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็น ส่งผลดีต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ สะท้อนได้จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งมีรายละเอียดได้แก่
1.การปรับปรุงมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สำหรับที่อยู่อาศัย ปี 2567 โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนอง อสังหาริมทรัพย์ จาก 1% เหลือ 0.01% เฉพาะที่จดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน
สำหรับการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน
ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธ.ค.67
2. มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน กำหนดให้บุคคลธรรมดา (ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) หักลดหย่อนค่าจ้างก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้รับจ้าง
ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าจ้างตามสัญญาจ้างตั้งแต่วันนี้ (9 เม.ย.67) ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 โดยให้หักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วจะหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 1 แสนบาท เฉพาะค่าจ้างก่อสร้างบ้านไม่เกิน 1 หลัง ในปีภาษีที่ก่อสร้างบ้านเสร็จ ตามสัญญาจ้างที่ได้กระทำขึ้นและเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันนี้ (9 เม.ย.67) ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 และได้เสียอากรแสตมป์โดยวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
3. โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุด ไม่เกิน 3 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.68 หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
4. โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อม ปลูกสร้างอาคาร เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.98% ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
5. การให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกประกาศที่ ส. 1/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567 ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงิน ไม่เกิน 100% ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
โดยกระทรวงการคลังประเมินว่า จะช่วยกระตุ้น GDP ในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7-1.8% ส่วนการจัดเก็บรายได้ค่าธรรมเนียมคาดว่าจะลดลงราว 2 พันล้านบาท/เดือน แต่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ
สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ประกาศล่าสุด จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและยังส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง บมจ.พรีบิลท์ (PREB) โดย “วิโรจน์ เจริญตรา” กรรมการผู้จัดการ PREB กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทฯมีโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 4 โครงการ ภายใต้แบรนด์ "พรรณนา" และ "พิมนารา" ซึ่งมีมูลค่ารวม 2.8 พันล้านบาท
และยังมีโครงการทาวเฮ้าส์ภายใต้แบรนด์ "พรี วิลเลจ" อีก 1 โครงการมูลค่า 0.7 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินอีก 2 แปลงในบริเวณ ถ.สุขุมวิท 24 และ ถ.สุขุมวิท 26 มูลค่ารวม 1.1 พันล้านบาท ที่จะใช้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม