ท่ามกลางกำลังซื้อและตลาดที่หดตัว ทำให้สมรภูมิรบตลาดเบียร์มูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ที่ในวันนี้ ไม่ได้มีแค่ “สิงห์กับช้าง” ที่ครองเบอร์1 และเบอร์ 2 มาอย่างยาวนานอีกต่อไปแล้ว แข่งขันกันดุเดือด
หลังมีเบียร์ขั้วที่ 3 อย่าง “คาราบาวและตะวันแดง” เพิ่มเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด จึงเพิ่มดีกรีการแข่งขันในตลาดให้ทะลุจุดเดือดมากขึ้น ตั้งแต่ปลายปี 2566 ที่ “คาราบาวกรุ๊ป” เปิดตัวเบียร์น้องใหม่ ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
เรียกว่าเปิดศึก “สงครามฟองเบียร์” กันสนั่น ตั้งแต่ช่องทางการขาย ที่สองเจ้าตลาดเดินเกมปรามร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ไม่ให้อ้าแขนต้อนรับเบียร์น้องใหม่ ด้วยการเสนอออปชั่นด้านราคา ให้ผลตอบแทน และสิทธิพิเศษมากขึ้น
แหล่งข่าวจาก ร้านค้าปลีกค้าส่ง กล่าวว่า ถือว่าการตลาดที่ทั้งเบียร์สิงห์และช้างทำก็ได้ผล เพราะมีบางร้านได้ยกเลิกขายเบียร์คาราบาวและตะวันแดงไปก็มี อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะยอดขายไม่ค่อยคึกคักด้วย เนื่องจากเป็นเบียร์ใหม่ ในช่วงแรกๆคนก็อาจจะซื้อกินเพราะอยากลอง
“มีหลายปัจจัยที่ทำให้คาราบาวเจาะตลาดเบียร์ได้ลำบาก เพราะส่วนใหญ่คนยังติดยี่ห้อเดิมๆ อยู่ แต่ทางคาราบาว ยังมีช่องทางขายผ่านร้านถูกดีมีมาตรฐานและซีเจ มอร์ที่เป็นธุรกิจค้าปลีกในเครือและซูเปอร์มาร์เก็ต” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ตอนนี้กำลังเป็นที่จับตาว่าอาจจะมีการแข่งขันด้านราคาหรือไม่ หลังคาราบาวและตะวันแดงได้ลดราคาลงแล้วเมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ทางร้านเองก็ลดราคาเองด้วยส่วนหนึ่ง
นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า ยอดขายของร้านค้าโชห่วยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาหายไปร่วม 30% ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังและเหล้ากับเบียร์ที่ยอดขายตกต่อเนื่องเช่นกัน แม้ช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์จะมีซื้อเยอะขึ้น แต่เป็นแค่ช่วงวันหยุดยาวเท่านั้น
“ประกอบกับช่วงนี้ มีเบียร์บางยี่ห้อที่ลดราคาลงมาค่อนข้างมาก จากเคยขายขวดละ 60 บาท เหลือ 49 บาท เพื่อชิงลูกค้าช่วงสงกรานต์ ซึ่งก็ได้ผลทำให้ได้ยอดขายและลูกค้าเพิ่ม ตอนนี้ตลาดเบียร์การแข่งขันสูง เมื่อมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาเพิ่ม จึงเกิดสงครามชิงผู้บริโภคเกิดขึ้น” นายสมชายกล่าว
คงต้องติดตาม เมื่อมีหนึ่งรายลดราคาแล้ว จะมีรายที่ 2 และรายที่ 3 ตามมาหรือไม่
ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_4520405