24 บจ. ลุยซื้อหุ้นคืน ไตรมาสแรก 4 พันล้าน พบ TU ควักกระเป๋าซื้อมากสุดกว่า 1.2 พันลบ.
จากรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงไตรมาส1/2567 พบว่า บริษัทจดทะเบียนที่เปิดโครงการซื้อหุ้นคืน มีการทำรายการซื้อหุ้นคืนจากในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 24 บริษัท คิดเป็นมูลค่ารายการรวม 4.26 พันล้านบาท
ประกอบด้วย AS มูลค่ารายการ 93.57 ล้านบาท BEM มูลค่ารายการ 588.39 ล้านบาท EA มูลค่ารายการ 78.97ล้านบาท FVC มูลค่ารายการ 7.29 ล้านบาท GUNKUL มูลค่ารายการ 409.69ล้านบาท III มูลค่ารายการ 23.77 ล้านบาท
MAJOR มูลค่ารายการ 43.27 ล้านบาท NEX มูลค่ารายการ 185.22 ล้านบาท LEE มูลค่ารายการ 5.38 ล้านบาท PRM มูลค่ารายการ 689.63 ล้านบาท SABUY มูลค่ารายการ 315.93 ล้านบาท SCM มูลค่ารายการ 6.93 ล้านบาท SFLEX มูลค่ารายการ 1.6 ล้านบาท SMD มูลค่ารายการ 46.78 ล้านบาท SMT มูลค่ารายการ 12.05 ล้านบาท SONIC มูลค่ารายการ 2.47 ล้านบาท SSP มูลค่ารายการ 413.39 ล้านบาท TACC มูลค่ารายการ 2.63 ล้านบาท
TKS มูลค่ารายการ 0.8 ล้านบาท TU มูลค่ารายการ 1,235 ล้านบาท UKEM มูลค่ารายการ 19.36 ล้านบาท VIBHA มูลค่ารายการ 53.37ล้านบาท WARRIX มูลค่ารายการ 20.35ล้านบาท ZEN มูลค่ารายการ 7.58 ล้านบาท รวมมูลค่ารายการ 4,263.42 ล้านบาท
ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า กลุ่มบริษัทฯขนาดกลางถึงใหญ่ได้มีการทำรายการมากสุด ขณะที่หุ้น TU เป็นหุ้นที่มีการทำรายการมีมูลค่าสูงสุด ดังนี้ TU มูลค่ารายการ 1,235 ล้านบาท, BEM มูลค่ารายการ 588.39 ล้านบาท, PRM มูลค่ารายการ 689.63 ล้านบาท, SABUY มูลค่ารายการ 315.93 ล้านบาท, SSP มูลค่ารายการ 413.39 ล้านบาท
สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น TU ในช่วงไตรมาส 1/2567 ราคาหุ้นปรับลดลง 3.33% จากราคาหุ้นที่ระดับ 15 บาท ลดลงมาอยู่ที่ 14.50 บาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 บริษัทฯได้รายงานผลการซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์จำนวนรวมของหุ้นซื้อคืนในโครงการจนถึงปัจจุบัน 85,707,600 หุ้น คิดเป็น%ของจำนวนหุ้นซื้อคืนต่อจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว 1.84%มูลค่ารวมที่ซื้อคืน1,235,005,800 บาท
สำหรับบริษัทฯได้เปิดโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 200,000,000 หุ้น คิดเป็น4.30 %ของจำนวนหุ้นซื้อคืนสูงสุดต่อจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว โดยคณะกรรมการมีมติให้ทำรายการเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567และวันที่ครบกำหนดโครงการ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
ด้านบทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ ระบุถึงหุ้น TU โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 17.5 บาท เนื่องจากคาดผลประกอบการเริ่มกลับมาปกติและการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster (RL) แล้ว
รวมถึงสถานการณ์ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย มูลค่าที่เหมาะสมที่ 17.5 บาท อ้างอิง historical PE forward ย้อนหลัง 7 ปี ที่ 14X โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER24F ที่ 11.5X และคาด Dividend Yield 24F ที่ 4.9% สถานะการเงินแข็งแกร่งคาด Net Debt/Equity 24F อยู่ที่ 0.6X ส่วนประเด็นความเสี่ยง คือ ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว, ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ, การขาดแคลนเรือนขนส่ง