Smart Investment
ส่องพอร์ตเซียนหุ้นรุ่นเก๋า “ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา” มูลค่ากว่า 1.6 พันลบ.
19 เมษายน 2567
จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนของพอร์ตลงทุนของ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ในฐานะนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ VI พบว่า ปัจจุบันมีการถือครองหุ้นจำนวน 10 บริษัท มีมูลค่าการถือครองรวม 1,608.92 ประกอบด้วย
หุ้น ASN มูลค่าถือหุ้น 12.43 ล้านบาท หุ้น CHASE 19.36 ล้านบาท หุ้น CHAYO 353.21 ล้านบาท หุ้น JMT 367.31ล้านบาท หุ้น KLINIQ 426.12 ล้านบาท หุ้น KWC 11.83 ล้านบาท หุ้น MANRIN 26.19 ล้านบาท หุ้น MASTER 192.02 ล้านบาท หุ้น THREL 35.10 ล้านบาท และหุ้น TRP 165.31ล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าว พบว่า ดร.ไพบูลย์ ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยถือลงทุน และมีบางส่วนปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ ที่มีสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% ของทุนชำระแล้ว แต่ไม่น้อยกว่า 10 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้
เริ่มที่ KLINIQ ข้อมูลภาพรวมผู้ถือหุ้นล่าสุดถือครอง 10,720,082 หุ้น จากเดิมถือ 10,399,682 หุ้น เพิ่มขึ้น 320,400 หุ้น ขณะที่หุ้น MANRIN ล่าสุดถือ 806,100 หุ้นจากเดิม 758,600 หุ้น โดยถือเพิ่มขึ้น 47,500 หุ้น และหุ้น THRELล่าสุดถือ15,811,606 หุ้น จากเดิม 15,552,400 หุ้น โดยถือเพิ่มขึ้น 259,206 หุ้น
นอกจากนี้หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% พบว่า ดร.ไพบูลย์ ปรากฏรายชื่อ ถือหุ้น KWC จำนวน 32,700 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.55% และ CHASE จำนวน 10,940,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.55%
อย่างไรก็ตามหุ้นที่มีสัดส่วนการซื้อเพิ่มมากที่สุดคือหุ้น KLINIQ โดยการเคลื่อนไหวราคาหุ้น KLINIQ ในเดือนเมษายน 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.63% จากราคา 39.50 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.50 บาท
นอกจากนี้ หุ้น KLINIQ ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นได้รับสิทธิ ณ วันที่ 11 เมษายน 2567 และวันจ่ายเงินปันผลวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับ 3.27% ซึ่งดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา หากยังถือครองตามสัดส่วนดังกล่าว จะได้รับเงินปันผลราว 8.04 ล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แนะนำ ซื้อ KLINIQ ให้ราคาเหมาะ 46.50 บาท โดยคาดรายได้งวดไตรมาส 1/67 จะเติบโตจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรายได้จากการขาย และบริการจะเติบโตจากยอดขายของสาขาเดิม และจากการเปิดสาขาใหม่ สำหรับศูนย์ศัลยกรรมยังมีการเติบโตต่อเนื่อง
โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาในงวดไตรมาส 1/67 จำนวน 10 สาขา ซึ่งช่วง 2 เดือนแรกปี 67 เปิดไปแล้ว 8 สาขาแบ่งเป็นแบรนด์ The KLINIQUE จำนวน 5 สาขา แบรนด์ L.A.B.X 3 สาขา
ทั้งนี้คงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ที่ 365 ล้านบาท เติบโต 27%จากปีก่อน ทำระดับสูงสุดใหม่ โดยคงคาดการณ์รายได้จำนวน 3,046 ล้านบาท เติบโต 33%จากปีก่อน (สอดคล้องกับที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 3 พันลบ.)
สำหรับในปี 2564-73 คาดอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10% ต่อปี (Source: GRAND VIEW RESEARCH) เติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม มาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่มีจำนวน 55 สาขา และการเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา (เดิมตั้งเป้าเปิด 15 สาขา) แบ่งเป็นแบรนด์ THE KLINIQUE 10 สาขา และ L.A.B.X 10 สาขา
ประกอบกับการเติบโตของรายได้ศูนย์ศัลยกรรม ที่มีความโดดเด่นเรื่องการทำหน้าอก และการทำจมูก รวมถึงการให้บริการศัลยกรรมใหม่ๆเพิ่มเติม เช่น ยุบโหนก ตัดกราม (Bone Surgery) ดึงหน้า ปลูกผม
และเมื่อปลายปี 66 บริษัทได้เปิดแบรนด์ใหม่ ชื่อ L’CLINIC เป็น segment รองลงมาจากแบรนด์ L.A.B.X เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่าตลาดมีการเติบโต
ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 67 ที่ 46.50 บาท โดยมีมุมมองบวกต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท เนื่องจากธุรกิจของบริษัท อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต ประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี PEG Ratio ที่ 1 เท่า เพื่อสะท้อนถึงการเติบโตของผลประกอบการ และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 3.3% ต่อปี
หุ้น ASN มูลค่าถือหุ้น 12.43 ล้านบาท หุ้น CHASE 19.36 ล้านบาท หุ้น CHAYO 353.21 ล้านบาท หุ้น JMT 367.31ล้านบาท หุ้น KLINIQ 426.12 ล้านบาท หุ้น KWC 11.83 ล้านบาท หุ้น MANRIN 26.19 ล้านบาท หุ้น MASTER 192.02 ล้านบาท หุ้น THREL 35.10 ล้านบาท และหุ้น TRP 165.31ล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าว พบว่า ดร.ไพบูลย์ ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยถือลงทุน และมีบางส่วนปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ ที่มีสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% ของทุนชำระแล้ว แต่ไม่น้อยกว่า 10 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้
เริ่มที่ KLINIQ ข้อมูลภาพรวมผู้ถือหุ้นล่าสุดถือครอง 10,720,082 หุ้น จากเดิมถือ 10,399,682 หุ้น เพิ่มขึ้น 320,400 หุ้น ขณะที่หุ้น MANRIN ล่าสุดถือ 806,100 หุ้นจากเดิม 758,600 หุ้น โดยถือเพิ่มขึ้น 47,500 หุ้น และหุ้น THRELล่าสุดถือ15,811,606 หุ้น จากเดิม 15,552,400 หุ้น โดยถือเพิ่มขึ้น 259,206 หุ้น
นอกจากนี้หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% พบว่า ดร.ไพบูลย์ ปรากฏรายชื่อ ถือหุ้น KWC จำนวน 32,700 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.55% และ CHASE จำนวน 10,940,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.55%
อย่างไรก็ตามหุ้นที่มีสัดส่วนการซื้อเพิ่มมากที่สุดคือหุ้น KLINIQ โดยการเคลื่อนไหวราคาหุ้น KLINIQ ในเดือนเมษายน 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.63% จากราคา 39.50 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.50 บาท
นอกจากนี้ หุ้น KLINIQ ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นได้รับสิทธิ ณ วันที่ 11 เมษายน 2567 และวันจ่ายเงินปันผลวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับ 3.27% ซึ่งดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา หากยังถือครองตามสัดส่วนดังกล่าว จะได้รับเงินปันผลราว 8.04 ล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด แนะนำ ซื้อ KLINIQ ให้ราคาเหมาะ 46.50 บาท โดยคาดรายได้งวดไตรมาส 1/67 จะเติบโตจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรายได้จากการขาย และบริการจะเติบโตจากยอดขายของสาขาเดิม และจากการเปิดสาขาใหม่ สำหรับศูนย์ศัลยกรรมยังมีการเติบโตต่อเนื่อง
โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาในงวดไตรมาส 1/67 จำนวน 10 สาขา ซึ่งช่วง 2 เดือนแรกปี 67 เปิดไปแล้ว 8 สาขาแบ่งเป็นแบรนด์ The KLINIQUE จำนวน 5 สาขา แบรนด์ L.A.B.X 3 สาขา
ทั้งนี้คงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ที่ 365 ล้านบาท เติบโต 27%จากปีก่อน ทำระดับสูงสุดใหม่ โดยคงคาดการณ์รายได้จำนวน 3,046 ล้านบาท เติบโต 33%จากปีก่อน (สอดคล้องกับที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 3 พันลบ.)
สำหรับในปี 2564-73 คาดอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10% ต่อปี (Source: GRAND VIEW RESEARCH) เติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม มาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่มีจำนวน 55 สาขา และการเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา (เดิมตั้งเป้าเปิด 15 สาขา) แบ่งเป็นแบรนด์ THE KLINIQUE 10 สาขา และ L.A.B.X 10 สาขา
ประกอบกับการเติบโตของรายได้ศูนย์ศัลยกรรม ที่มีความโดดเด่นเรื่องการทำหน้าอก และการทำจมูก รวมถึงการให้บริการศัลยกรรมใหม่ๆเพิ่มเติม เช่น ยุบโหนก ตัดกราม (Bone Surgery) ดึงหน้า ปลูกผม
และเมื่อปลายปี 66 บริษัทได้เปิดแบรนด์ใหม่ ชื่อ L’CLINIC เป็น segment รองลงมาจากแบรนด์ L.A.B.X เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่าตลาดมีการเติบโต
ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 67 ที่ 46.50 บาท โดยมีมุมมองบวกต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท เนื่องจากธุรกิจของบริษัท อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต ประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี PEG Ratio ที่ 1 เท่า เพื่อสะท้อนถึงการเติบโตของผลประกอบการ และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 3.3% ต่อปี