สหรัฐอเมริกามีมากที่สุดประมาณ 8,200 ตัน ตามด้วยเยอรมัน 3,300 ตัน อิตาลี ฝรั่งเศส และรัสเซียประมาณประเทศละ 2,500 ตัน ด้านจีนมีทองคำสำรองเป็นอันดับที่หกของโลก 2,300 ตัน ขณะที่ ส่วนไทยมี 245 ตัน
ราคาทองคำกำลังขึ้นสูงเป็นประวัติศาสตร์ หลายคนไม่แน่ใจว่าควรจะซื้อหรือควรจะขาย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสงกรานต์ราคาขึ้นมาประมาณ 16% หากจะซื้อเพิ่มก็กลัวราคาจะลดลง แต่หากจะรอไปอีกก็กลัวราคาจะขึ้นสูง และจะเสียดายโอกาส
ข่าวประโคมทุกวันเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ความตึงเครียดเกือบสุกงอมของสงครามที่อาจจะขยายเป็นวงกว้าง ปัญหารัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อไม่มีความชัดเจนว่าจะจบลงอย่างไร ล่าสุดมีข่าวว่าอิหร่านจะตอบโต้อิสราเอลในเร็ววันนี้ หากเกิดขึ้นจริงราคาน้ำมันอาจจะพุ่งสูงขึ้นเกิน 100 เหรียญต่อบาร์เรล จะเกิดเงินเฟ้อรอบใหญ่อีกครั้ง อีกทั้งปีนี้มีการเลือกตั้งกว่า 60 ประเทศ
แถมมีข่าวติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีว่า ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ นำโดยจีน ซื้อทองคำสะสมเป็นนโยบายของการลดความเสี่ยงต่อภาพรวมของทรัพย์สิน หรือเป็นการชี้ชวนให้พันธมิตรลดการพึ่งพาเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐ เรื่องนี้มีการกระพือข่าวต่อเนื่องในโซเชียลมีเดียทำให้เกิดความเชื่อว่ารัฐบาลหลายประเทศจะรวมกันสร้างระบบการเงินการธนาคารทางเลือก มาแข่งขันกับปัจจุบันที่มีประเทศกลุ่ม G7 เป็นเจ้ากี้เจ้าการ
ปัจจุบันจีนมีทองคำสำรองเป็นอันดับที่หกของโลกประมาณ 2,300 ตัน ขณะที่สหรัฐอเมริกามีมากที่สุดประมาณ 8,200 ตัน ตามด้วยเยอรมัน 3,300 ตัน อิตาลี ฝรั่งเศส และรัสเซียประมาณประเทศละ 2,500 ตัน (ส่วนไทยมีประมาณ 245 ตัน) ปริมาณทองคำของจีนนั้นเทียบเป็นอัตรา เพียง 4.3% ของทรัพย์สินแห่งชาติ ซึ่งที่เหลือ 95.7% นั้นเป็นเงินตราหลายสกุลหลัก เรื่องนี้จึงทำให้การซื้อทองคำโดยธนาคารกลางของจีนนั้นอาจจะไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงต่อการเงินโลกในเร็ววันอย่างที่หลายคนเข้าใจ
จะลงทุนในทองคำดีไหม? เดี๋ยวนี้หรือควรรอ? ความกลัวทำให้วิ่งหาที่พึ่ง
ทองคำเป็นที่ยอมรับทั่วโลกโดยเฉพาะในสังคมไทยที่เชื่อถือมาช้านานว่าเป็นสิ่งวัดความมั่งคั่งและเศรษฐกิจในครอบครัว เป็นที่พึ่งในยามฉุกเฉิน แลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้โดยที่ไม่ต้องรอวันและเวลาทำการของธนาคาร ร้านค้าทองมีทุกหย่อมหญ้าเปิดทุกวัน
ทองคำมีความงดงามคงทนหายาก นำกลับมาใช้ได้หลายครั้งนับไม่ถ้วน สำหรับหลายคนการมีทองคำเป็นจิตวิทยาที่ประเมินค่าไม่ได้ เป็นเครื่องประดับสวยงามแต่ใครที่กังวลว่าจะนำอันตรายมาสู่ตน ก็หันไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บสะสมแทน เนื่องจากซื้อขายคล่องตัวกว่าทองรูปพรรณและไม่มีค่ากำเหน็จบางคนเชื่อว่าไม่เพียงแต่ทองคำจะเป็นสิ่งประดับที่นิยมมาตั้งแต่โบราณแต่ปัจจุบันทองคำถูกใช้เป็นวัสดุสำคัญในอุตสาหกรรมหลายประเภทรวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆและโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น และปริมาณของทองคำมีจำกัด ราคาจะไม่ตกหรือจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างแน่นอน
ประโยชน์ของการลงทุนกับทองคำ ได้ทั้งกำไรอย่างน้อยก็ความอุ่นใจ
หวังกำไร : อุปสงค์อุปทาน ทองคำในโลกมีจำกัด และการเพิ่มปริมาณจากการทำเหมืองเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนสูง
สู้กับเงินเฟ้อ: ราคาทองคำจะขยับขึ้นตามไป หรือบางครั้งจะแซงเงินเฟ้อทำให้รักษาอำนาจการซื้อไว้ได้ รัฐบาลแต่ละประเทศมักจะแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินตราสกุลของตนเองจึงทำให้มูลค่าเสื่อมโดยอัตโนมัติ
กระจายความเสี่ยงของการลงทุน : ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำมักจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่นๆ ดังนั้นการมีทองคำเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งจึงคล้ายกับการประกันความสมดุลย์
สิ่งควรพิจารณาและระวังเรื่องการลงทุนในทองคำ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเป็นจำนวนมากให้ความเห็นว่าการลงทุนในทองคำอาจจะไม่ใช้สิ่งที่ควรทำถึงแม้จะมีความวิตกกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองโลกแต่ทองคำไม่ใช่คำตอบ เหตุผลที่ออกมาติงก็คือ
ราคาทองคำอาจจะไม่ขึ้นเสมอไป : ตลาดจะเป็นตัวกำหนด ไม่มีอะไรมากำหนดกฎเกณฑ์ว่าราคาทองคำควรจะเป็นเท่าไหร่ ความพึงพอใจของผู้ซื้อจะเป็นตัวตัดสิน
ทองคำไม่มีประโยชน์ในอุตสาหกรรมมากนัก : แร่ธาตุเงินใช้ในอุตสาหกรรมแพร่หลายมากกว่าทองคำและความเชื่อที่ว่าทองคำนั้นเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นอาจไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนเพียงพอ
ทองคำไม่มีเงินปันผล :แต่แตกต่างจากการลงทุนกับหุ้นของบริษัทที่เข้มแข็งมีกำไรราคาหุ้นสูงขึ้นและยังมีเงินปันผลแบ่งเป็นระยะ
ทองคำเป็นภาระและอันตรายต่อเจ้าของ : ต้องเก็บรักษาโดยมีค่าใช้จ่ายและอาจนำมาสู่อาชญากรรมเช่นการลักขโมยหรือปล้นจี้ การเพิ่มความนิยมของทองคำจะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในการทำเหมืองแร่ทองคำซึ่งทำลายพื้นผิวดินที่อุดมสมบูรณ์ให้กับกลายเป็นหลุมคล้ายผิวดวงจันทร์เช่นเหมืองแร่ในบราซิลและแอฟริกา กลายเป็นมลภาวะระยะยาว
ทางเลือกในการลงทุนในทองคำ
สำหรับท่านที่คิดว่าได้ชั่งใจแล้วอยากลงทุนในทองคำ ผู้เชี่ยวชาญหลายสถาบันแนะนำให้จำกัดอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10% ของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด และควรพิจารณาการลงทุนโดยทางอ้อมผ่าน “กองทุนรวมทองคำ” ซึ่งมีความสะดวกและปลอดภัย
กองทุนรวมทองคำ หรือ Gold Fund เป็นการลงทุนมูลค่าหน่วยลงทุน ตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก เปรียบเสมือนลงทุนในทองคำแท่งทางอ้อม ผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ ซึ่งนำเงินลงทุนของกลุ่มไปซื้อทองคำแท่ง
เมื่อเราใช้เงินบาทไทยซื้อจะมีอัตราแลกเปลี่ยนของวันนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อเราขายหุ้นในกองทุนก็จะได้เงินเป็นสกุลต่างประเทศและแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินบาทไทย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วย ยกเว้นท่านที่มีเงินสกุลตราต่างประเทศ เช่นดอลลาร์สหรัฐอยู่แล้ว และราคาของหุ้นในกองทุนก็จะอิงกับราคาทองคำโลกและไม่เกี่ยวข้องกับราคาทองคำในประเทศไทย
การลงทุนทางอ้อมกับกองทุนรวมทองคำนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการกังวลกับการเก็บรักษาทองคำไว้กับตนเอง ไม่ต้องออกจากบ้านไปที่ร้านทอง ไม่ต้องกังวลว่าทองคำที่ตัวเองมีอยู่นั้นเป็นของแท้หรือไม่ และจำนวนเงินที่ซื้อเป็นหน่วยของหุ้นในกองทุนจำนวนมากน้อยตามที่เราพอใจ ไม่จำเป็นจะต้องซื้อเป็นหน่วยของทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาและไม่สนใจกับการใช้ทองคำเป็นเครื่องประดับ
ในวาระสงกรานต์และเทศกาลปีใหม่ของไทยครั้งนี้ ขอส่งแรงใจและพลังบวกจากสหรัฐอเมริกาสู่มาตุภูมิให้ทุกท่านและครอบครัวมีความสุขและสุขภาพแข็งแรง ภาวนาให้เกิดความสามัคคีและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกันในสังคม ขอให้สิ่งต่างๆที่เป็นเรื่องท้าทายระดับชาติ เช่น ปัญหาคอรัปชั่น ความเหลื่อมล้ำ ภาระหนี้สินครัวเรือน และความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะอุดมการณ์ต่างๆผ่านพ้นไปโดยเร็วพร้อมกับความร้อนของอากาศครับ
ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1122816