จับประเด็นหุ้นเด่น
รายงานพิเศษ : EP กับโอกาสการเติบโตของธุรกิจ สอดรับเศรษฐกิจของเวียดนามที่กำลังขยายตัว
24 เมษายน 2567
ธุรกิจพลังงานสะอาดทั้งจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามที่ทยอยCOD ปีนี้ ปัจจัยสำคัญสร้างรายได้ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) ปี 2567 เติบโตก้าวกระโดด
![รายงานพิเศษ EP copy.jpg](https://www.share2trade.com/storage/PressIOS/2024/April/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%20EP%20copy.jpg)
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)ประเมินทิศทางเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และ เวียดนาม
ซึ่งในส่วนของประเทศเวียดนาม SCB EIC ประเมินว่า ในปีนี้เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวสูงสุดในกลุ่ม CLMV อยู่ที่ 6.3% (จาก 5.1% ในปี 2566) รองลงมา คือ กัมพูชา ขยายตัวต่อเนื่อง 6.0% (จาก 5.6% ในปี 2566) สปป.ลาว ขยายตัว 4.7% (จาก 4.5% ในปี 2666) และเมียนมา ขยายตัว 3.0% (จาก 2.5% ในปี 2566)
จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกสินค้า และท่องเที่ยว หนุนอุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้นผ่านการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และคาดกการณ์ว่า ระยะปานกลางเศรษฐกิจ CLMV จะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจข้ามชาติที่ขยายการลงทุนในภูมิภาค ตามยุทธศาสตร์ China +1 เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อเศรษฐกิจประเทศเวียดนามเติบโตสูงสุดในกล่ม CLMV ทำให้ความต้องการใช้ระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเวียดนามมีแผนเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทางเลือก
โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อการผลิตไฟฟ้า โดยให้มีอัตราการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนประมาณ 30.9-39.2% ภายในปี ค.ศ. 2030 (อาจสูงถึง 47% หากพันธมิตรระหว่างประเทศสามารถดำเนินการตามข้อตกลงหุ้นส่วนด้านการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่เท่าเทียม (JETP) อย่างครบถ้วนและเป็นรูปธรรม) และเพิ่มเป็น 67.5-71.5% ภายในปี ค.ศ. 2050
นอกจากนี้เวียดนามมีแผนจะควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 204-254 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2030 (อาจเหลือเพียง 170 ล้านตัน หากมีการดำเนินการตาม JETP อย่างจริงจัง) และลดเหลือประมาณ 27-31 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2050
แนวทางการให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า ดึงดูดการเข้าลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศไทย โดยประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) “ยุทธ ชินสุภัคกุล” ระบุว่า ในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตเกือบ 4 เท่าจากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 847.44 ล้านบาท
ซึ่งการเติบโตมาจากทั้งในส่วนธุรกิจพลังงาน ที่ในปีที่ผ่านมาอัตราการเจริญเติบโตด้านการติดตั้งแผงโซลาร์เซลบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่สูงมาก รวมไปถึงการทยอยจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม และมั่นใจว่าในอนาคตบริษัทฯมีศักยภาพที่ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามได้อย่างแน่นอน ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ก็ได้มีการปรับปรุงทั้งด้านการขายบริการ และการบริหารต้นทุนการดำเนินงาน
และสำหรับฐานะการเงินบริษัทก็มีความแข็งแกร่งมาก หลังจากที่บริษัทได้ลงนามในสัญญาให้การสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารลงทุนและการพัฒนาเวียดนาม (Bank for Investment and Development of Vietnam) หรือ BIDV ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐบาลเวียดนาม ที่ให้บริการสินเชื่อแก่โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ทั้งนี้ได้รับข้อเสนอ Project Finance สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม HL3 เป็นจำนวน 597,500 ล้านดอง หรือประมาณ 870 ล้านบาท โดยสามารถเบิกเงินกู้ได้ทันที 60% ของวงเงิน และส่วนที่เหลือจะเบิกได้ เมื่อสามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าถาวร (FIT) กับทาง EVN ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณต้นปี 2568
"หลังจากที่บริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากธนาคารลงทุนและการพัฒนาเวียดนาม หรือ BIDVทำให้บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาให้บริษัทฯเป็นหนึ่งในผู้นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมประเทศเวียดนามได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 160 เมกะวัตต์ รวมถึงมีความพร้อมจะสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการพิจารณาลงทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อีก 3 โครงการที่เหลือ กำลังการผลิตรวม 130 เมกะวัตต์ กำลังอยู่ระหว่างการขออนุมัติจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) กับทาง EVN คาดว่าจะได้รับการอนุมัติ ภายในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งหลังจากนั้น ก็จะมีการทยอยลงนามในสัญญาเงินกู้ส่วนที่เหลือ ในวงเงินรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ต่อไป" นายยุทธ กล่าว
![รายงานพิเศษ EP copy.jpg](https://www.share2trade.com/storage/PressIOS/2024/April/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%20EP%20copy.jpg)
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)ประเมินทิศทางเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และ เวียดนาม
ซึ่งในส่วนของประเทศเวียดนาม SCB EIC ประเมินว่า ในปีนี้เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวสูงสุดในกลุ่ม CLMV อยู่ที่ 6.3% (จาก 5.1% ในปี 2566) รองลงมา คือ กัมพูชา ขยายตัวต่อเนื่อง 6.0% (จาก 5.6% ในปี 2566) สปป.ลาว ขยายตัว 4.7% (จาก 4.5% ในปี 2666) และเมียนมา ขยายตัว 3.0% (จาก 2.5% ในปี 2566)
จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกสินค้า และท่องเที่ยว หนุนอุปสงค์ในประเทศปรับดีขึ้นผ่านการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และคาดกการณ์ว่า ระยะปานกลางเศรษฐกิจ CLMV จะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจข้ามชาติที่ขยายการลงทุนในภูมิภาค ตามยุทธศาสตร์ China +1 เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อเศรษฐกิจประเทศเวียดนามเติบโตสูงสุดในกล่ม CLMV ทำให้ความต้องการใช้ระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเวียดนามมีแผนเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทางเลือก
โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพื่อการผลิตไฟฟ้า โดยให้มีอัตราการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนประมาณ 30.9-39.2% ภายในปี ค.ศ. 2030 (อาจสูงถึง 47% หากพันธมิตรระหว่างประเทศสามารถดำเนินการตามข้อตกลงหุ้นส่วนด้านการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่เท่าเทียม (JETP) อย่างครบถ้วนและเป็นรูปธรรม) และเพิ่มเป็น 67.5-71.5% ภายในปี ค.ศ. 2050
นอกจากนี้เวียดนามมีแผนจะควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 204-254 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2030 (อาจเหลือเพียง 170 ล้านตัน หากมีการดำเนินการตาม JETP อย่างจริงจัง) และลดเหลือประมาณ 27-31 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2050
แนวทางการให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า ดึงดูดการเข้าลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศไทย โดยประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) “ยุทธ ชินสุภัคกุล” ระบุว่า ในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตเกือบ 4 เท่าจากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 847.44 ล้านบาท
ซึ่งการเติบโตมาจากทั้งในส่วนธุรกิจพลังงาน ที่ในปีที่ผ่านมาอัตราการเจริญเติบโตด้านการติดตั้งแผงโซลาร์เซลบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่สูงมาก รวมไปถึงการทยอยจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม และมั่นใจว่าในอนาคตบริษัทฯมีศักยภาพที่ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามได้อย่างแน่นอน ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ก็ได้มีการปรับปรุงทั้งด้านการขายบริการ และการบริหารต้นทุนการดำเนินงาน
และสำหรับฐานะการเงินบริษัทก็มีความแข็งแกร่งมาก หลังจากที่บริษัทได้ลงนามในสัญญาให้การสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารลงทุนและการพัฒนาเวียดนาม (Bank for Investment and Development of Vietnam) หรือ BIDV ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐบาลเวียดนาม ที่ให้บริการสินเชื่อแก่โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ทั้งนี้ได้รับข้อเสนอ Project Finance สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม HL3 เป็นจำนวน 597,500 ล้านดอง หรือประมาณ 870 ล้านบาท โดยสามารถเบิกเงินกู้ได้ทันที 60% ของวงเงิน และส่วนที่เหลือจะเบิกได้ เมื่อสามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าถาวร (FIT) กับทาง EVN ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณต้นปี 2568
"หลังจากที่บริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากธนาคารลงทุนและการพัฒนาเวียดนาม หรือ BIDVทำให้บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาให้บริษัทฯเป็นหนึ่งในผู้นำโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมประเทศเวียดนามได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 160 เมกะวัตต์ รวมถึงมีความพร้อมจะสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วยการพิจารณาลงทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อีก 3 โครงการที่เหลือ กำลังการผลิตรวม 130 เมกะวัตต์ กำลังอยู่ระหว่างการขออนุมัติจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) กับทาง EVN คาดว่าจะได้รับการอนุมัติ ภายในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งหลังจากนั้น ก็จะมีการทยอยลงนามในสัญญาเงินกู้ส่วนที่เหลือ ในวงเงินรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ต่อไป" นายยุทธ กล่าว