เรื่องเด่นวันนี้
STX พร้อมเทรด mai 26 เม.ย.นี้ หุ้นเหมืองหินรายแรกในตลท. เดินหน้าขยายเหมือง รับดีมานด์ขาขึ้น หนุนผลงานติดปีกโต
25 เมษายน 2567
STX พร้อมลั่นระฆังเทรด mai วันแรก 26 เม.ย.นี้ ตอกย้ำ หุ้นเหมืองหินอุตสาหกรรมรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยจุดเด่นหินเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยโครงการเหมืองของบริษัทอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการลงทุนต่อเนื่อง เชื่อหลังระดมทุนครั้งนี้จะสนับสนุนแผนขยายเหมืองหินใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 2 แห่ง ที่ จ.ชลบุรี และ จ.เพชรบุรี คาดเห็นความชัดเจนหมืองใหม่ 1 แห่งในปีนี้ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้บริษัท พร้อมรับดีมานด์ขาขึ้นตาม เมกะโปรเจกต์อินฟราสตรัคเจอร์ของไทย หนุนผลงานติดปีกโต ขณะที่ โมเดลธุรกิจเข้าใจง่าย ฐานทุนแกร่ง หนี้ต่ำ และแผนการลงทุนโครงการในอนาคตชัดเจน ยืนหนึ่งผู้ประกอบธุรกิจเหมืองหินที่ได้รับรางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี
นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ในวันที่ 26 เมษายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อ “STX” วางเป้าหมายมุ่งสู่การขยายแหล่งวัตถุดิบและการผลิตในอนาคต ต่อยอดธุรกิจหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองหินที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว หรือการพัฒนาเหมืองหินใหม่ ซึ่งอยู่ในที่ตั้งที่เหมาะสม พร้อมด้วยเจตนารมณ์การทำเหมืองอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากปัจจุบันบริษัทมีเหมืองหินอยู่จำนวน 2 แห่ง ที่เหมืองหนองข่า อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และ เหมืองจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
โดยโครงการในอนาคต บริษัทฯ ได้จัดทำแผนธุรกิจเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนขยายธุรกิจในโครงการเหมืองหินแหล่งใหม่ 2 แหล่ง เพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับบริษัท โดยมีโครงการหาแหล่งปริมาณสำรองเหมืองใหม่ที่จังหวัดชลบุรี จากการสำรวจในเบื้องต้นมีปริมาณสำรองสำหรับหินอุตสาหกรรมชนิดหินแกรนิตเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง จำนวนประมาณ 32.00 ล้านตัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและต่อรองกับผู้ขายอย่างต่อเนื่อง และเหมืองหินแหล่งที่ 2 ตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี จากการสำรวจในเบื้องต้น (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567) มีปริมาณสำรองสำหรับหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง จำนวนประมาณ 19.00 ล้านตัน
โดย STX นับเป็นผู้ประกอบธุรกิจเหมืองหินที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญในการวางระบบบริหารจัดการด้านชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากการได้รับรางวัลมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 และรางวัล Green Industry อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ถือเป็นจุดแข็งในการเข้าไปขยายเหมืองหินใหม่ที่มีศักยภาพ
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ STX จะนำเงินที่จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการซื้อเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงาน รวมถึงการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเหมืองใหม่ที่บริษัทฯ วางแผนจะเข้าซื้อแต่ละเหมืองคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% นอกจากนี้ แผนการขยายตลาดในผลิตภัณฑ์จากแร่โดโลไมต์ จะสนับสนุนให้รายได้รวมเติบโตขึ้น ขณะที่แร่โดโลไมต์มีอัตรากำไรเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์หิน นอกจากนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต และเชื่อว่าหลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุนบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ STX จะนำเงินที่จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการซื้อเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงาน รวมถึงการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเหมืองใหม่ที่บริษัทฯ วางแผนจะเข้าซื้อแต่ละเหมืองคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% นอกจากนี้ แผนการขยายตลาดในผลิตภัณฑ์จากแร่โดโลไมต์ จะสนับสนุนให้รายได้รวมเติบโตขึ้น ขณะที่แร่โดโลไมต์มีอัตรากำไรเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์หิน นอกจากนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต และเชื่อว่าหลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุนบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ
ทั้งนี้ การเติบโตของบริษัทฯ สอดคล้องไปกับการพัฒนาประเทศตามแผนนโยบายของรัฐบาล ที่ส่งเสริมเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) รวมทั้งโครงการ Landbridge โดยโครงการ EEC มีการประเมินความต้องการใช้หินประมาณ 100 ล้านตัน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตหินให้ EEC เพียง 10 ล้านตันต่อปี ซึ่งหากบริษัทฯสามารถระดมทุนได้ตามแผน และขยายเหมืองได้ภายในปี 2567 บริษัทจะมีเหมืองเพิ่มอีก 1 เหมืองที่สามารถรองรับเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ได้
ด้านนายพงศ์ภัค สุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี
โกลบอล จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีจุดเด่นหินเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยโครงการเหมืองของบริษัทอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการลงทุนต่อเนื่อง เงินระดมทุนครั้งนี้ ใช้ลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้ง แนวโน้มผลการดำเนินงานที่อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น ประกอบกับการเสนอขาย IPO จำนวน 65 ล้านหุ้น กำหนดราคาเสนอขายหุ้นละ 3.00 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ที่มองเห็นศักภาพและโอกาสการเติบโตของ STX ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai
อีกทั้ง STX มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง มากว่า 27 ปี มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ มีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.18 เท่า และมีส่วนของทุนสูงถึงกว่า 600 ล้านบาท จึงมีศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนให้ STX ยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล และสามารถสร้าง New S-Curve ทางธุรกิจได้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 371.29 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 32.8% มีกําไรสุทธิ 38.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 76.5% มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.26% อัตรากำไรสุทธิ 10.24% มาจากรายได้การขายหินแกรนิต 20 มม. ของเหมืองหนองข่าสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง กลับมาทําการผลิตดังเดิม รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่เหมืองจอมบึงที่เป็นโดโลไมต์ผง นับเป็นการขยายฐานลูกค้า และเข้าสู่ผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Valued added)